วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การศึกษาเพื่อ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" (๑๐) : เส้นปกติของชีวิต (baseline of Life)

เส้นมาตรฐานที่กำลังพูดถึงนี้ ไม่เกี่ยวกับมาตรฐานการศึกษาใด ๆ ที่กำลังใช้กันอยู่ขณะนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปในแนวการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่มั่งคั่ง (รวย)

เส้นมาตรฐานของการศึกษาเพื่อความยั่งยืน คือ "เส้นปกติ" เส้นแห่งความเป็นปกติของมนุษย์  คำว่า "ปกติ" เป็นผล เหตุของความเป็นปกติก็คือ การปฏิบัติให้มีศีล สำหรับปุถุชนคนธรรมดา เส้นปกติก็คือ ศีล ๕  โดยเฉพาะอินทรียสังวรศีล (สติ-ระลึกห้ามเจตนา)


ชีวิตของแต่ละบุคคลธรรมดาจะขึ้น ๆ ลง ๆ  เจริญแล้วเสื่อม ๆ  เหมือนคลื่นชีวิต  ทุกท่านคงทราบและยอมรับในข้อนี้ดี จึงไม่มีอะไรจะคุยต่อ แต่เส้นปกติของสังคม เป็นสิ่งเหมาะสมที่ควรจะมาพิจารณาหาข้อยุติกัน เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่จะนำพาคนไปสู่ความเจริญแบบยั่งยืน

ขอยกตัวอย่าง เส้นมาตรฐานการเป็นไปของสังคม ๓ เส้น ได้แก่

  • เส้นปกติ คือ คนส่วนใหญ่ในสังคม มีศีล ๕ เป็นปกติ มีความละอายและเกรงกลัวต่อการประพฤติผิดต่อศีล ๕  
  • เส้นเจริญ คือ คนส่วนใหญ่ในสังคม นอกจากมีศีล ๕ เป็นปกติ แล้วยังปฏิบัติธรรม เจริญสติ ภาวนา พัฒนา ชำระจิตใจให้ผ่องใส  เส้นนี้จะนำคนไปสู่การบรรลุธรรม มีปัญญารู้แจ้ง 
  • เส้นเสื่อม คือ เส้นที่คนส่วนใหญ่ในสังคม ประพฤติผิดศีล ๕ ไม่ละอาดชั่วกลัวบาปจากการทำผิดศีล 
เมื่อพิจารณาแบบนี้แล้ว ท่านว่า โลกปัจจุบันนี้ กำลังเป็นไปตามเส้นใด คงไม่มีใครเถียงว่า สังคมไทยและสังคมโลกกำลังมุ่งไปตามเส้นเสื่อม ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ต่อไปนี้ 
  • ผู้ที่ถือศีล ๕ ถูกเรียกหรือถูกตั้งสมญาว่า  "หลวงพ่อ"  ส่อว่า เป็นคนส่วนน้อยของสังคม
  • ครูในโรงเรียนหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นส่วนน้อยที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างในการรักษาศีล ๕ ... จึงเป็นธรรมดาที่ "ศีล ๕" จะไม่ใช่เรื่องที่ครูสอนในชั้นเรียน 
  • คำว่าพัฒนา คำว่า เจริญ คำว่าก้าวหน้า ล้วนแต่ไม่เกี่ยวกับศีล ๕ เลยแม้แต่น้อย มุ่งแต่จะก้าวไปสู่ความมั่งคั่ง ร่ำรวย  .... ปัญหาของการศึกษาคือ การสอนให้ทุกคนเป็นคนรวย นั่นเอง (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ที่นี่)
ในหลวง ร.๙ ทรงพระราชทานแนวทางการศึกษาที่ถูกต้อง การศึกษาที่จะนำพาคนในประเทศไปตาม "เส้นเจริญ"  ไปสู่ความสุขความเจริญที่ยั่งยืน ไว้แล้ว  การศึกษาตามแนวพระราชดำริแบบ "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" นั่นเองที่ทุกหน่วยงานและสถานศึกษาต้องหันมาดู 

(โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ที่กล่าวถึงนี้ คือ ชื่อของโรงเรียนที่มีการตั้งกันขึ้นมาก่อน ...  ผมพยายามสื่อว่า  ทุกโรงเรียน ทุกมหาวิทยาลัย ทุกหน่วยงาน สถานศึกษา ต้องมาพัฒนาตามแนวทางแห่ง "ปูทะเลย์มหาวิชาลัย" โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อแต่อย่างใด)

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2562

น้ำท่วมอีสาน ๒๕๖๒ หนักสุดในรอบ ๖๐ ปี

ปีนี้ (๒๕๖๒) น้ำท่วมอีสานหนักที่สุดในรอบ ๖๐ ปี  เป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้เรื่องน้ำท่วมอีสาน ประสบการณ์ครั้งนี้อาจจะมีประโยชน์กว่าหลายครั้งที่ผ่านมา อย่างน้อยก็สามารถจะขนของขึ้นสูงได้ทัน  นิสิตนักศึกษาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย น่าจะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และคอยติดตามสถานการณ์แล้วแจ้งพ่อแม่ผู้ปกครองที่บ้านได้  ก่อนจะเข้าใจปรากฎการณ์นี้ มีองค์ความรู้ที่สำคัญ ๆ ที่จำเป็นต้องเข้าใจก่อน ได้แก่ การเกิดฝน-พายุ และปัจจัยที่ทำให้ภัยรุนแรง  ขออธิบายด้วยภาพ ดังต่อไปนี้

๑) การเกิดฝนและพายุฝนในไทย

ท่านใดที่มีลูกหลานประถม-อนุบาล ภาพวงจรการหมุนเวียนของน้ำบนโลก น่าจะช่วยท่านได้ไม่ยากในการอธิบายว่า ฝนมาจากไหน เมฆคืออะไร ทำไมต้องช่วยกันปลูกต้นไม้ ค่อย ๆ ปลูกฝังแบบบ่อยซ้ำย้ำทวนไป จิตใจเขาก็จะค่อยซึมซับเอง 

อ้างอิงที่นี่

ขอเสนอให้ฝึกการคิดแบบองค์รวมด้วยภาพความเชื่อมโยงจากภาพด้านล่างนี้ ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ เข้าใจว่าทุกสิ่งอย่างเชื่อมโยงและอิงอาศัยและพึ่งพากันจึงเกิดความสมดุล ถ้าบางสิ่งหายไป ความยั่งยืนจะถูกทำลายไปในที่สุด 

อ้างอิงที่นี่

น้ำที่ระเหยขึ้นไปบนฟ้าเมื่อตกลงมาก็จะกลายเป็นฝน การเกิดฝนแบ่งได้เป็น ๒ แบบ คือ ฝนไม่มีพายุใหญ่ และ ฝนที่มากับพายุใหญ่ เรียกกันทั่วไปว่า พายุฝนซึ่งมีหลายประเภท เดี๋ยวจะกล่าวต่อไป ฝนที่ไม่มีพายุก็คือฝนทั่ว ๆ ไป เกิดขึ้นได้จากร่องความกดอากาศต่ำ ทำให้ไอน้ำที่ลอยขึ้นสูงไปเจออากาศเย็น จึงควบแน่นตกลงมา  ภาพด้านล่างแสดงทิศทางฝนที่เกิดจากร่องความกดอากาศต่ำ ซึ่งทำให้เกิดลมพัดไอน้ำกลายมาเป็นฝนตามฤดูกาล เรียกว่า มรสุมตะวันออกเฉียงใต้ (ลูกศรสีเขียว) หรือเรียกว่า พายุดีเปรสชั่น 

ปี ๒๕๖๒ ฝนตามฤดูกาลนี้ แทบจะไม่มีมาไทยเลย เนื่องจากตรงกับช่วงปีที่เกิดเอลนีโญ่ เกือบจะสิ้นสิงหาคม ทุกเขื่อนในไทยแทบจะไม่มีน้ำเหลือให้เกษตรใช้เลย ข้าวยืนต้นเกือบจะเหลืองแห้งตาย รัฐบาลกำลังจะแจกงบจ่ายรายหัว "ค่าชดเชยภัยแล้ง" อยู่แล้วเทียว 


ส่วนฝนที่มากับพายุ หรือ พายุฝน ที่ก่อตัวหมุนวน ตั้งต้นจากมหาสมุทรแปซิฟิค ทุก ๆ ปี จะมีเฉลี่ยประมาณ ๒๗ ลูก ขณะนี้มาแล้ว ๑๒ ลูก  ๑๐ ลูกก่อนหน้านั้น ประเทศไทยแทบจะไม่ได้น้ำเลย  มีแต่พายุแต่ไม่มีฝน ฝนตกในไทยไม่ถึงร้อยละ ๑๕ ของน้ำที่พายุหอบมา พายุทุกลูกม้วนขึ้นไปใต้หวันและอ่อนกำลังและหายไป  ทำให้คนไทยอีสานเจอปัญหาแห้งแล้งฝนทิ้งช่วงยาวนาน (มิถุนายน-สิงหาคม) ข้าวยืนต้นกำลังจะตายหลายแสนไร่  ผมเคยเขียนแสดงตัวอย่างใกล้บ้านในบันทึกนี้


แต่พอเกือบจะสิ้นสิงหาคม-ต้นกันยายน พายุลูกที่ ๑๑ ที่ชื่อ "โพดุล" ไม่หมุนขึ้นไปไต้หวัน เกาหลี เหมือนที่ควรจะเป็น โพดุลวิ่งตรงผ่านเข้าไทย อีสานบนและเหนือตอนใต้ รับไปเต็ม ๆ  น้ำทั้งหมดที่พายุหอบมา ตกลงมาเป็นฝนในไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็น 

เส้นทางเดิน(วิ่ง) ของพายุโพดุล เข้าไทยด้วยความเร็วระดับพายุโซนร้อน ก่อนจะวางฝนในไทยเต็ม ๆ

ภาพแสดงความรุนแรงของพายุฝน


มวลน้ำมหาศาล ท่วมไร่นาไปแล้วกว่า ๑,๕๐๐,๐๐๐ ไร่ อันนี้คงพอจะเยียวยากันได้ แต่ที่ต้องระทมใจที่สุดคือน้ำที่เข้าท่วมหมู่บ้านสูงกว่า ๒ เมตร ดูภาพที่ดาวน์โหลดมาจากข่าว ๆ ต่าง ๆ ต่อไปนี้ 

ถนนมิตรภาพถูกท่วม ตัดขาดเส้นทางสายอีสานที่บ้านไผ่

ชาวบ้านไผ่หนีน้ำขึ้นกำแพง
สองภาพด้านบนนี้ อยู่ที่อำเภอบ้านไผ่ สังเกตภาพล่าง ดูเหมือนชาวบ้านจะรู้ว่าน้ำจะท่วม จึงเอารถมอเตอร์ไซด์ขึ้นไว้บนรถกระบะ แต่คงจะไม่คาดคิดว่าน้ำจะท่วมมากขนาดนั้น 




๒) ความรุนแรงของอุทกภัย

นักวิชาการบอกว่า น้ำท่วมจะกลายเป็น "อุทกภัย" หรือไม่ จะขึ้นอยู่กับปัจจัย ๓ ประการ ได้แก่ ความแรงของพายุฝน ความเปราะบางของระบบการจัดการน้ำท่วม (ความเปราะบาง) และลักษณะของพื้นที่ (ความล่อแหลม) 

น้ำท่วมอีสานคราวนี้ นอกจากปริมาณน้ำและฝนจะมีมากและมาเร็วแล้ว การป้องกันภัยยังไม่ทันการ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เราสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำก่อนจะพายุโซนร้อนจะมาถึง ๒ หรือ ๓ วัน นั่นแสดงว่า กระบวนการสื่อสารที่จะกระตุ้นให้ชาวบ้านเตรียมการรับมือไม่ชัดเจน การคำนวณปริมาณน้ำไม่มี ไม่มีตัวเลขบอกประมาณการเลยว่าน้ำจะท่วมประมาณกี่เซนติเมตร กี่เมตร ทำให้พื้นที่ล่อแหลมเสี่ยงภัย เช่น พื้นที่ใกล้ ๆ แม่น้ำชี มูล  รับทุกข์ไปเต็ม ๆ 

๓) การป้องกันภัยในอนาคต

ถ้าพูดไปให้ไกลแบบยโลกสวย ก็คงต้องช่วยกันปลูกป่า น้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในทุก ๆ เรื่อง ก่อนจะทำอะไรต้องพิจารณาให้ครอบคลุม ๔ มิติ  ในที่นี้ก็คือ มิติสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องช่วยกันอนุรักษ์ 

หากมองใกล้ในระยะกลาง ทุกชุมชนและพื้นที่คงต้องศึกษาวิธีจัดการน้ำและวางผังการสร้างชุมชนอย่างเป็นระบบ ไม่ให้ถนนขวางทางน้ำ ไม่ให้น้ำวิ่งหนีหายไป น้อมนำเอาเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้กับพื้นที่ของตน 

ใกล้ตัวที่สุดก็คือ ต้องติดตามข่าวสาร นักวิชาการก็ต้องวิจัยให้ได้ความรู้ เครื่องมือ และทักษะในการพยากรณ์ให้แม่นยำ รัฐบาลก็ต้องสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ  

ผมเองก็ไปสัมผัสน้ำท่วมที่มาพอควร ชาวบ้าน ชาวนา ไม่ได้มีปัญหาเท่าใด เพราะทุกคนค่อนข้างจะอุ่นใจ มั่นใจว่าจะมีการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล 

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

ประชาธิปไตย กับ "๓ เสาหลัก" (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์)

ศาสตราจาย์บุญชนะ อัตถากร ท่านบอกไว้ในบันทึกเรื่อง "การปฏิวัติคณะ รสช." (ผมบันทึกจับประเด็นไว้ที่นี่) ว่า ในการปฏิวัติของ "คณะราษฎร์" เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕  ประชาชนคนไทย มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ไม่ถึงร้อยละ ๒ ... จริง ๆ ท่านเขียนว่า ประชาชนคนไทยร้อยละ ๙๘ ไม่รู้จักประชาธิปไตย... นั่นหมายความว่า ความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยคราวนั้น ไม่เป็นประชาธิปไตย

จากการสืบค้นและศึกษา จากเว็บไซต์ต่าง ๆ  สามารถลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการปกครองในระบบประชาธิปไตย ได้ดังต่อไปนี้  
  • ก่อน พ.ศ. ๑ พระพุทธเจ้าสอนว่า 
    • ทรงสอนเกี่ยกับ อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และ ธรรมธิปไตย 
      • อัตตาธิปไตย คือ เอาตนเองเป็นใหญ่
      • โลกาธิปไตย คือ เอาผู้อื่นเป็นใหญ่ เอาผู้รู้ ผู้มีปัญญา ผู้นำเป็นใหญ่ 
      • ธรรมาธิปไตย คือ เอาธรรมเป็นใหญ่ 
    • ทรงสอนธรรมะสำหรับผู้ปกครองที่ยั่งยืน คือ ทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ ได้แก่ ทาน ศีล ปริจาคะ อาชชวะ (ซื่อตรง) มัทฑวะ (อ่อนโยน) ตปะ(เพียร) อักโกธะ (ความไม่โกรธ) อวิหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ขันติด (อดทน) และ อวิโรธนะ (หนักแน่นในธรรม)
ถ้าเปรียบเทียบการปกครองแบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน ที่ยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก น่าจะตรงกับ "โลกาธิปไตย" ที่สุด และทุกระบอบการปกครองที่เรารู้จัก เช่น ราชาธิปไตย สมบูรณายาสิทธิราชย์ สังคมนิยม ฯลฯ แล้วแต่เป็น โลกาธิปไตย ทั้งสิ้น 

  • ประมาณปี พ.ศ. ๖๓ - พ.ศ. ๑๓๓ โปรแทกอรัส (Protagoras)  มีความเชื่อว่า 
    • ความจริงหรือความดีนั้นไม่มีอยู่จริง เป็นทัศนะส่วนบุคคลของแต่ละคนเท่านั้น
    • ไม่มีมาตรการใดจะสามารถตัดสินได้ว่า ทัศนะใดเป็นจริงมากกว่าทัศนะอื่น (ตอนนั้นกำลังเถียงกันเรื่องปฐมธาตุของโลก คนหนึ่งบอกว่า โลกประกอบด้วยไฟ คนหนึ่งบอกลม คนหนึ่งบอกดิน คนหนึ่งบอกน้ำ อีกคนบอกเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ นักปรัชญากลุ่มนี้สนใจ ว่า โลกเกิดจากอะไร? เปลี่ยแปลงหรือไม่)
    • ความยุติธรรมหรือคุณธรรม ไม่มีจริง  กฎหมายถูกสร้างขึ้นเพื่อจะควบคุมคนอ่อนแอ กฎหมายคืออำนาจ  อำนาจคือธรรม ผู้มีอำนาจสามารถสามารถจะฝ่าฝืนกฎหมายได้โดยไม่ถูกทำโทษ 
ถ้าเปรียบกับคำสอนเรื่อง อธิปไตย ๓ ของพระพุทธเจ้า น่าจะตรงกับ อัตตาธิปไตย มากที่สุุด ซึ่งนี่ก็ล่วงมาแล้วกว่า ๒,๔๐๐ ปี  ไม่มีใครในโลกนี้เชื่อแบบนี้แล้ว  เพราะปรัชญาวัตถุนิยมตามแนวของเดมอคริตุส (Democritus) ซึ่งสอนว่า โลกธาตุประกอบไปได้วยปรามาณูหรืออะตอม อันเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ (วัตถุ)ในปัจจุับัน ได้รับการพิสูจน์ และเจริญรุ่งเรืองยิ่งในยุคนี้ (เรียกว่า วัตถุนิยม)
  • ประมาณ พ.ศ. ๗๐ - พ.ศ.๑๔๐ นักปราชญ์ชาวกรีก ณ กรุงเอเธนส์ โสเครตีส โสคราตีส หรือ โสกราตีส (Socrates)  สอนว่า 
    • สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์ก็คือความดี แต่ละบุคคลนั้นหากประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี และมุ่งเน้นแสวงหาความจริงและคุณค่าแห่งปัญญา จะถือว่าเป็นผู้ฉลาดและผู้เจริญที่สุด  
    • มนุษย์จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุขถ้ายึดมั่นในคุณธรรม ผู้ปกครองต้องมีคุณธรรมและทำให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักว่าคุณธรรมคือคุณค่าของชีวิต   
    • คุณธรรมเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ค้นพบได้ สอน และเรียนรู้ได้ 
    • เขากล่าวว่า ไม่มีมนุษย์คนใดทำความชั่วอย่างจงใจ หมายถึง มนุษย์ที่ทำความชั่วนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากความไม่รู้ในความดี ไม่มีปัญญารู้เกี่ยวกับศีลธรรม หากบุคคลใดรู้และเข้าใจในคุณธรรมและความดีอย่างแท้จริงแล้ว เขาจะไม่ทำความชั่ว 
    • เขาเชื่อว่า ผู้ปกครองต้องมาจากผู้มีความรู้หรือเป็นปราชญ์  เพราะผู้ที่เป็นปราชญ์นั้น ย่อมทำแต่ความดี รักษาความดี และความดีนั่นเองที่จะทำให้สังคมและประชาชนมีความสุข 
    • เขาเชื่อว่า รัฐที่ดีที่สุดคือรัฐที่ต้องมีราชาที่เป็นนักปราชญ์ หรือมีนักปราชญ์เป็นราชา  ผู้นำหรือราชา จะต้องเสียสละเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จะต้องเป็นผู้ทรงธรรม 
สิ่งที่เป็นแก่นหลักของยุคของโสกราตีสคือ "เหตุผล" หรือเรียกว่า "เหตุผลนิยม" โดยยึดหลักคุณธรรมศีลธรรมเป็นแกน โดยมีการแบ่งแยกความจริงออกเป็น ๒ คือความจริงจากการสัมผัสและความจริงโดยเหตุผล เกิดความแตกต่างระหว่าง Perception (สัญชาน) Imagine (จินตภาพ) Reason (เหตุผล) และ Concept (มโนภาพ) โดยใช้การตั้งคำถามและตอบคำถาม ถก-โต้เถียง เป็นเครื่องมือในการศึกษา ซึ่งได้ตามลำดับได้แก่ สงสัย (Suspect) สนทนา (Conversation)  หาคำจำกัดความ (Defination)  อุปนัย (Inductive) และนิรนัย (Deductive) วิธีการแบบนี้รู้จักในชื่อรวมว่าเป็นการศึกษาแบบ วิภาษวิธี (Dialactic) 

หากเปรียบเทียบกับ คำสอนทางพุทธศาสนา เครื่องมือในการเรียนรู้ของโสกราตีส เป็นการใช้ความคิด ใช้จิตเป็นเครื่องมือเรียนรู้ เป็นปัญญาจากจิต หรือเรียกว่า จินตมยาปัญญา ศรัทธาหรือความเชื่อที่เกิดขึ้นจึงมีปัญญาทางโลกเป็นฐาน  ดังนั้นจึงน่าจะอยู่ในระดับ โลกาธิปไตย 
  • ประมาณ พ.ศ. ๑๑๖ -๑๙๖ พลาโต หรือ เพลโต (Plato) นักจิตวิทยาชาวกรีก ลูกศิษย์ของยูคลิเดส (Euclides) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของโสกราตีสอีกที เขาเริ่มศึกษางานของโสกราตีสตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี จนกระทั่งโสกราตีสถูกประหารชีวิตในปี พ.ศ. ๑๔๔ ก่อนมาศึกษาอยู่กับยูคลิเดส จึงอาจเรียกได้ว่า เขาก็เป็นลูกศิษย์ของโสกราตีสก็ไม่ผิด ... (เราเองก้รู้เรื่องเกี่ยวกับโสกราตีสจากงานของพลาโตนี้เอง (ที่นี่เขียนดี)) พลาโตเห็นด้วยกับโสกราตีสเรื่องการยึดมั่นในคุณธรรม ศีลธรรมเป็นสิ่งสูงสุดที่ทำให้มนุษย์อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข แต่เขาไม่เชื่อว่า ผู้ที่ทำชั่วนั้นเป็นเพราะไม่รู้จักความดีหรือไม่เข้าใจในศีลธรรม  แต่อาจเกิดจากความไม่ยั้งคิด  พลาโต้ได้นำเสนอหลักในการปกครองแบบรัฐไว้ชัดเจน ในหนังสือชื่อ "The Republic" 
    • อุตมรัฐ (the republic เป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งของพลาโต) หรือ รัฐในอุดมคติ ที่มีระบอบการปกครองที่ดีที่สุดควรจะเป็นแบบ อภิชนธิปไตย (Aristocracy) ควรประกอบไปด้วยกลุ่มคน ๓ ชนชั้นปกครอง ได้แก่ ๑) ชนชั้นสูง ผู้ถูกคัดเลือกจากระบบการศึกษา ต้องเป็นผู้ทรงธรรม ทรงปัญญา เป็นปราชญ์ ๒) ชนชั้นกลางที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือนัำพิทักษ์ชน เช่น ตำรวจ ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และ ๓) ชนชั้นล่าง คือ ราษฎร ชนชั้นที่ถูกปกครอง 
    • คุณธรรมที่สำคัญสำหรับการเมืองการปกครอง ได้แก่ 
      • ปัญญา (Wisdom)  คือ ความรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี สามารถที่จะอธิบายได้ด้วยเหตุผล  มนุษย์ มักทำเรื่องไม่ดีเพราะโง่เขลา ทำให้ชีวิตมีความทุกข์  การรูู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี จะทำให้มนุษย์ทำแต่ความดีเพราะ ความดีมีผลเป็นความสุข 
      • ความกล้าหาญ (Courage) คือ ความกล้าหาญที่จะทำความดี เอาชนะต่อความกลัวที่จะยึดมั่นต่อคุณธรรม  รู้ว่าควรจะกลัวอะไร ไม่กลัวอะไร 
      • การควบคุมตนเอง (Temperance) ไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรม ผู้นำที่ดีจะต้องปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง
      • ความยุติธรรม คือ การยึดมั่นคุณธรรมและศีลธรรมต่อผู้อื่น ต่อสัมคม การประพฤติตนที่แสดงออกถึงการเคารพสิทธิของผู้อื่น
    • เขาแยกประเภทของคุณธรรมออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ คุณธรรมทางสังคม และ คุณธรรมทางปรัชญา  การที่คนทำสิ่งใด ๆ ตามที่สังคมเห็นว่าดีแม้บุคคลจะไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องปฏิบัติ อาจเรียกว่ามีคุณธรรมทางสังคมได้  แต่หากจะเข้าถึงความดีสูงสุดคือ คุณธรรม บุคคลจะต้องเข้าใจเหตุผล รู้ถึงเป้าหมายสูงสุด 
สังเกตว่า พลาโต ให้ความสำคัญกับ "คนดี" "ความดี" ละ "คุณธรรม" และเชื่อว่า การปกครองที่ดีที่สุดจะต้องปกครองด้วย "คนดี" มีคุณธรรม ที่ได้รับการคัดเลือกทางการศึกษา ... ไม่ใช่แค่เป็นราชาทางสายเลือด หากเปรียบเทียบแนวคิดนี้กับ อธิปไตย ๓ น่าจะตรงกับ โลกาธิปไตย นั่นเอง 

สังเกตว่า ประวัติศาสตร์ของประเทศใด ๆ ที่มีการสืบทอดผู้นำในระบบกษัตริย์นั้น จะมีกระบวนการศึกษาและฝึกฝน สำหรับคนที่จะขึ้นปกครองเป็นระบบกษัตริย์ อย่างดีเยี่ยม  และกษัตริย์ใด ๆ ผู้สวรรคตไป ก็ย่อม มอบหมายหน้าที่ปกครองไว้กับผู้ที่เหมาะสมที่สุด ... เพราะหากไม่ ราชวงศ์นั้นก็ย่อมจะล่มสลายไปโดยไว  เช่น  ลูกชายของเล่าปี่ เป็นต้น 
  • ประมาณปี พ.ศ. ๑๕๙ - พ.ศ. ๒๒๑  อริสโตเติล (Aristotle) ลูกศิษย์เอกของพลาโต ซึ่งเป็นศิษย์ของโสกราตีส  นักปรัชญาชาวกรีก ๓ คนนี้ มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุคนั้น  หากเทียบกันใน ๓ คนนี้ อริสโตเติลมีชื่อเสียงที่สุด เขามีผลงานกว่า ๑,๐๐๐ เล่ม  เป็นผู้ปูพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นบิดาแห่งวิชาชีววิทยาและตรรกศาสตร์ คำสอนของเขาหลายเรื่อง ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะทางศาสนา ศิลปะ และการปกครอง สิ่งที่อริสโตเติลเขียนไปปรากฎอยู่ในคัมภีร์ทางศาสนา และ อริสโตเติลเองก็เป็นอาจารย์สอนของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์
    • อริสโตเติล มีความเชื่อและสอนในเรื่องการยึดมั่นในศีลธรรมและความดีเหมือนกับพลาโต 
    • แต่เขามีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นต้องอยู่ในสังคม การเมืองนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะนำและทำให้คนนั้นมีชีวิตที่มีความสุข การเมืองนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์จะสามารถดึงศัยกภาพของตนเองออกมาได้มากที่สุดก็ด้วยการเข้ามีส่วนร่วมในการเมืองในฐานะของพลเมือง ซึ่งการดึงศักยภาพของตนเองนั่นเองที่นำมาสู่ความสุขของมนุษย์ 
    • เขามีความเห็นว่า พลเมืองทุกคนควรจะมีส่วนร่วมกับการปกครองรัฐ ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นสูงหรือชนชั้นปกครองเท่านั้น  ... อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ผู้หญิงและเด็กซึ่งไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่าใช่พลเมือง พลเมืองต้องมีเวลา มีศักยภาพ และมีจิตใจสูง 
    • อริสโตเติลศึกษารูปแบบการปกครองนครรัฐ ออกเป็น ๖ แบบ ได้แก่
      • แบบราชาธิปไตย (Monarchy) ที่มีผู้นำเป็นปราชญ์ เป็นผู้มีคุณธรรม 
      • แบบทรราชย์ (Tyranny) ที่มีผู้นำชั่ว ไม่มีคุณธรรม 
      • แบบอภิชนาธิปไตย (Aristocracy) ที่มีกลุ่มผู้นำที่เป็นปราชญ์ เป็นผู้มีความรู้ คุณธรรม เสียสละ 
      • แบบคณาธิปไตย (Oligarchy) ที่มีกลุ่มคณะคนที่เห็นแก่พวกพ้องเป็นผู้ปกครอง หรืออาจเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกลุ่มคนชั้นสูง หรือคนรวย
      • แบบประชาธิปไตย (Democracy) ที่ยึดความพอใจของประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ หรืออาจเรียกว่า การปกครองโดยคนจน  
      • แบบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ (Polity) เป็นการปกครองที่อยู่กลางระหว่าง คณาธิปไตยและประชาธิปไตย   มีการแต่งตั้งตัวแทนทั้งคนชนชั้นสูง (คนรวย) คนชนชั้นกลาง และคนชนชั้นล่าง เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองบริหารงาน 
    • อริสโตเติลเชื่อว่า การปกครองที่ดีที่สุดคือ การปกครองแบบ Polity  ... ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแแบบรัฐสภา ที่เราเข้าใจทุกวันนี้ 
    • อริสโตเติลบอกว่า รูปแบบที่ไม่ดีที่สุดคือ คณาธิปไตย นั่นเอง...
สังเกตว่า การปกครองแบบที่เรารู้จักกันขณะนี้ทั้งหมด อริสโตเติลคิดค้นและรู้จักแล้วตั้งแต่ ๒,๓๐๐ ปี ที่ผ่านมา ... เรายังเวียนว่ายกันอยู่ในวังวน" 

สัเกตว่า คำสอนของอริสโตเติล ซึ่งครอบคลุมสุมอิทธิพลต่อสังคมยาวนานกว่า ๑,๘๐๐ ปีนั้น ซึมซาบเข้าไปในทั้งระบบชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  ...  ผมสรุปลงตรงนี้เลยว่า  คำว่า "๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ " นั่นเอง ที่ทำให้ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ลูกศิษย์ของอริสโตเติล ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรและยั่งยืนพอสมควร

ขอสรุปสาระสำคัญที่สุด ที่ผมอยากจะบอกท่าน ดังนี้ครับ 
  • การปกครองที่เกิดขึ้นก่อนจะ พ.ศ. ๑ และเจริญรุ่งเรืองมายาวนานกับ "ชาติคน" ที่ปัจจุบันเรียกว่า ชาติไทย ต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่เรียกว่า "ธรรมาธิปไตย" นั้น ค่อย ๆ ถูกทำลายไป ... และโดยเฉพาะกับการเลือกตั้งในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ นี้ ที่คนรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อในบันทึกที่ว่ามานี้ 
  • ทั้งโสกราตีส พลาโต และอริสโตเติล เข้าถึงความสุขและความจริงของธรรมชาติเพียงในระดับความคิด ด้วยความคิดเท่านั้น อาจจะรู้จักสมถะและโยนิโสมนสิการในบางส่วน แต่ไม่รู้จักวิปัสนาอันพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และเมตตรเผยแพร่  พวกเขาเหล่านั้นจึงไม่ได้เข้าถึงความจริงอันสูงสุดของธรรมชาติ  คือเข้าไม่ถึง "ธรรม" หรือ "พระธรรม"  พวกเขาจึงไม่รู้จัก "ธรรมธิปไตย" ... สิ่งที่พวกเขารู้ได้และสั่งสอนสืบต่อมาก็เป็นเพียง "โลกาธิปไตย" อันติดอยู่วัฎจักรอยู่นั่นเอง 
  • สิ่งที่คนไทยควรทำคือ ธำรง ๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไว้ตราบนานเท่านั้น เพื่อจะได้เปิดโอกาสให้ลูกหลานเราเข้าใกล้ "ธรรมธิปไตย" อันจะส่งผลให้ "พระธรรม" คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ถูกต้องทำลายไป 
ขอบคุณครับ .... 
ป.ล.
  • ผมว่า โสกราตีส อาจจะเข้าถึงความจริงบางอย่าง หากพิจารณาจากคำกล่าวที่เขาบอกว่า "ไม่มีใครทำชั่วโดยจงใจ" จะรู้ว่าใครที่เข้าถึง "ความดีที่แท้จริง" เขาย่อมไม่ถอยหลัง .... 
  • ขณะที่ผมเขียนบันทึกนี้ ประชาชนชาวฝรั่งเศสเรือนแสน กำลังเดินขบวนขับไล่ประธานาธิบดี มาคร็องค์  ชาวอเมริกันกำลังปวดหัวกับการฟ้องร้องประธานาธิบดีทรัมส์ อังกฤษกำลังยุ่งยากกำการขอต่ออายุในเบร็กสิด  ... ประเทศเหล่านี้ คือต้นแบบของระบอบประชาธิปไตยโลก 
  • แสดงว่า สิ่งที่ฝ่ายล้มเจ้ากำลังต้องการ ไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย สิ่งที่เขาต้องการก็เป็นเพียง ทุนนิยมเสรี ที่พวกเขาจะได้เข้ามายึดครองผลประโยชน์จากพวกที่ยึดอยู่ในปัจจุบัน เท่านั้นเอง 
หรือท่านว่าไง ....