วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การศึกษาเพื่อ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" (๑๐) : เส้นปกติของชีวิต (baseline of Life)

เส้นมาตรฐานที่กำลังพูดถึงนี้ ไม่เกี่ยวกับมาตรฐานการศึกษาใด ๆ ที่กำลังใช้กันอยู่ขณะนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปในแนวการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่มั่งคั่ง (รวย)

เส้นมาตรฐานของการศึกษาเพื่อความยั่งยืน คือ "เส้นปกติ" เส้นแห่งความเป็นปกติของมนุษย์  คำว่า "ปกติ" เป็นผล เหตุของความเป็นปกติก็คือ การปฏิบัติให้มีศีล สำหรับปุถุชนคนธรรมดา เส้นปกติก็คือ ศีล ๕  โดยเฉพาะอินทรียสังวรศีล (สติ-ระลึกห้ามเจตนา)


ชีวิตของแต่ละบุคคลธรรมดาจะขึ้น ๆ ลง ๆ  เจริญแล้วเสื่อม ๆ  เหมือนคลื่นชีวิต  ทุกท่านคงทราบและยอมรับในข้อนี้ดี จึงไม่มีอะไรจะคุยต่อ แต่เส้นปกติของสังคม เป็นสิ่งเหมาะสมที่ควรจะมาพิจารณาหาข้อยุติกัน เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่จะนำพาคนไปสู่ความเจริญแบบยั่งยืน

ขอยกตัวอย่าง เส้นมาตรฐานการเป็นไปของสังคม ๓ เส้น ได้แก่

  • เส้นปกติ คือ คนส่วนใหญ่ในสังคม มีศีล ๕ เป็นปกติ มีความละอายและเกรงกลัวต่อการประพฤติผิดต่อศีล ๕  
  • เส้นเจริญ คือ คนส่วนใหญ่ในสังคม นอกจากมีศีล ๕ เป็นปกติ แล้วยังปฏิบัติธรรม เจริญสติ ภาวนา พัฒนา ชำระจิตใจให้ผ่องใส  เส้นนี้จะนำคนไปสู่การบรรลุธรรม มีปัญญารู้แจ้ง 
  • เส้นเสื่อม คือ เส้นที่คนส่วนใหญ่ในสังคม ประพฤติผิดศีล ๕ ไม่ละอาดชั่วกลัวบาปจากการทำผิดศีล 
เมื่อพิจารณาแบบนี้แล้ว ท่านว่า โลกปัจจุบันนี้ กำลังเป็นไปตามเส้นใด คงไม่มีใครเถียงว่า สังคมไทยและสังคมโลกกำลังมุ่งไปตามเส้นเสื่อม ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ต่อไปนี้ 
  • ผู้ที่ถือศีล ๕ ถูกเรียกหรือถูกตั้งสมญาว่า  "หลวงพ่อ"  ส่อว่า เป็นคนส่วนน้อยของสังคม
  • ครูในโรงเรียนหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นส่วนน้อยที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างในการรักษาศีล ๕ ... จึงเป็นธรรมดาที่ "ศีล ๕" จะไม่ใช่เรื่องที่ครูสอนในชั้นเรียน 
  • คำว่าพัฒนา คำว่า เจริญ คำว่าก้าวหน้า ล้วนแต่ไม่เกี่ยวกับศีล ๕ เลยแม้แต่น้อย มุ่งแต่จะก้าวไปสู่ความมั่งคั่ง ร่ำรวย  .... ปัญหาของการศึกษาคือ การสอนให้ทุกคนเป็นคนรวย นั่นเอง (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ที่นี่)
ในหลวง ร.๙ ทรงพระราชทานแนวทางการศึกษาที่ถูกต้อง การศึกษาที่จะนำพาคนในประเทศไปตาม "เส้นเจริญ"  ไปสู่ความสุขความเจริญที่ยั่งยืน ไว้แล้ว  การศึกษาตามแนวพระราชดำริแบบ "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" นั่นเองที่ทุกหน่วยงานและสถานศึกษาต้องหันมาดู 

(โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ที่กล่าวถึงนี้ คือ ชื่อของโรงเรียนที่มีการตั้งกันขึ้นมาก่อน ...  ผมพยายามสื่อว่า  ทุกโรงเรียน ทุกมหาวิทยาลัย ทุกหน่วยงาน สถานศึกษา ต้องมาพัฒนาตามแนวทางแห่ง "ปูทะเลย์มหาวิชาลัย" โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อแต่อย่างใด)

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2562

น้ำท่วมอีสาน ๒๕๖๒ หนักสุดในรอบ ๖๐ ปี

ปีนี้ (๒๕๖๒) น้ำท่วมอีสานหนักที่สุดในรอบ ๖๐ ปี  เป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้เรื่องน้ำท่วมอีสาน ประสบการณ์ครั้งนี้อาจจะมีประโยชน์กว่าหลายครั้งที่ผ่านมา อย่างน้อยก็สามารถจะขนของขึ้นสูงได้ทัน  นิสิตนักศึกษาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย น่าจะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และคอยติดตามสถานการณ์แล้วแจ้งพ่อแม่ผู้ปกครองที่บ้านได้  ก่อนจะเข้าใจปรากฎการณ์นี้ มีองค์ความรู้ที่สำคัญ ๆ ที่จำเป็นต้องเข้าใจก่อน ได้แก่ การเกิดฝน-พายุ และปัจจัยที่ทำให้ภัยรุนแรง  ขออธิบายด้วยภาพ ดังต่อไปนี้

๑) การเกิดฝนและพายุฝนในไทย

ท่านใดที่มีลูกหลานประถม-อนุบาล ภาพวงจรการหมุนเวียนของน้ำบนโลก น่าจะช่วยท่านได้ไม่ยากในการอธิบายว่า ฝนมาจากไหน เมฆคืออะไร ทำไมต้องช่วยกันปลูกต้นไม้ ค่อย ๆ ปลูกฝังแบบบ่อยซ้ำย้ำทวนไป จิตใจเขาก็จะค่อยซึมซับเอง 

อ้างอิงที่นี่

ขอเสนอให้ฝึกการคิดแบบองค์รวมด้วยภาพความเชื่อมโยงจากภาพด้านล่างนี้ ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ เข้าใจว่าทุกสิ่งอย่างเชื่อมโยงและอิงอาศัยและพึ่งพากันจึงเกิดความสมดุล ถ้าบางสิ่งหายไป ความยั่งยืนจะถูกทำลายไปในที่สุด 

อ้างอิงที่นี่

น้ำที่ระเหยขึ้นไปบนฟ้าเมื่อตกลงมาก็จะกลายเป็นฝน การเกิดฝนแบ่งได้เป็น ๒ แบบ คือ ฝนไม่มีพายุใหญ่ และ ฝนที่มากับพายุใหญ่ เรียกกันทั่วไปว่า พายุฝนซึ่งมีหลายประเภท เดี๋ยวจะกล่าวต่อไป ฝนที่ไม่มีพายุก็คือฝนทั่ว ๆ ไป เกิดขึ้นได้จากร่องความกดอากาศต่ำ ทำให้ไอน้ำที่ลอยขึ้นสูงไปเจออากาศเย็น จึงควบแน่นตกลงมา  ภาพด้านล่างแสดงทิศทางฝนที่เกิดจากร่องความกดอากาศต่ำ ซึ่งทำให้เกิดลมพัดไอน้ำกลายมาเป็นฝนตามฤดูกาล เรียกว่า มรสุมตะวันออกเฉียงใต้ (ลูกศรสีเขียว) หรือเรียกว่า พายุดีเปรสชั่น 

ปี ๒๕๖๒ ฝนตามฤดูกาลนี้ แทบจะไม่มีมาไทยเลย เนื่องจากตรงกับช่วงปีที่เกิดเอลนีโญ่ เกือบจะสิ้นสิงหาคม ทุกเขื่อนในไทยแทบจะไม่มีน้ำเหลือให้เกษตรใช้เลย ข้าวยืนต้นเกือบจะเหลืองแห้งตาย รัฐบาลกำลังจะแจกงบจ่ายรายหัว "ค่าชดเชยภัยแล้ง" อยู่แล้วเทียว 


ส่วนฝนที่มากับพายุ หรือ พายุฝน ที่ก่อตัวหมุนวน ตั้งต้นจากมหาสมุทรแปซิฟิค ทุก ๆ ปี จะมีเฉลี่ยประมาณ ๒๗ ลูก ขณะนี้มาแล้ว ๑๒ ลูก  ๑๐ ลูกก่อนหน้านั้น ประเทศไทยแทบจะไม่ได้น้ำเลย  มีแต่พายุแต่ไม่มีฝน ฝนตกในไทยไม่ถึงร้อยละ ๑๕ ของน้ำที่พายุหอบมา พายุทุกลูกม้วนขึ้นไปใต้หวันและอ่อนกำลังและหายไป  ทำให้คนไทยอีสานเจอปัญหาแห้งแล้งฝนทิ้งช่วงยาวนาน (มิถุนายน-สิงหาคม) ข้าวยืนต้นกำลังจะตายหลายแสนไร่  ผมเคยเขียนแสดงตัวอย่างใกล้บ้านในบันทึกนี้


แต่พอเกือบจะสิ้นสิงหาคม-ต้นกันยายน พายุลูกที่ ๑๑ ที่ชื่อ "โพดุล" ไม่หมุนขึ้นไปไต้หวัน เกาหลี เหมือนที่ควรจะเป็น โพดุลวิ่งตรงผ่านเข้าไทย อีสานบนและเหนือตอนใต้ รับไปเต็ม ๆ  น้ำทั้งหมดที่พายุหอบมา ตกลงมาเป็นฝนในไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็น 

เส้นทางเดิน(วิ่ง) ของพายุโพดุล เข้าไทยด้วยความเร็วระดับพายุโซนร้อน ก่อนจะวางฝนในไทยเต็ม ๆ

ภาพแสดงความรุนแรงของพายุฝน


มวลน้ำมหาศาล ท่วมไร่นาไปแล้วกว่า ๑,๕๐๐,๐๐๐ ไร่ อันนี้คงพอจะเยียวยากันได้ แต่ที่ต้องระทมใจที่สุดคือน้ำที่เข้าท่วมหมู่บ้านสูงกว่า ๒ เมตร ดูภาพที่ดาวน์โหลดมาจากข่าว ๆ ต่าง ๆ ต่อไปนี้ 

ถนนมิตรภาพถูกท่วม ตัดขาดเส้นทางสายอีสานที่บ้านไผ่

ชาวบ้านไผ่หนีน้ำขึ้นกำแพง
สองภาพด้านบนนี้ อยู่ที่อำเภอบ้านไผ่ สังเกตภาพล่าง ดูเหมือนชาวบ้านจะรู้ว่าน้ำจะท่วม จึงเอารถมอเตอร์ไซด์ขึ้นไว้บนรถกระบะ แต่คงจะไม่คาดคิดว่าน้ำจะท่วมมากขนาดนั้น 




๒) ความรุนแรงของอุทกภัย

นักวิชาการบอกว่า น้ำท่วมจะกลายเป็น "อุทกภัย" หรือไม่ จะขึ้นอยู่กับปัจจัย ๓ ประการ ได้แก่ ความแรงของพายุฝน ความเปราะบางของระบบการจัดการน้ำท่วม (ความเปราะบาง) และลักษณะของพื้นที่ (ความล่อแหลม) 

น้ำท่วมอีสานคราวนี้ นอกจากปริมาณน้ำและฝนจะมีมากและมาเร็วแล้ว การป้องกันภัยยังไม่ทันการ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เราสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำก่อนจะพายุโซนร้อนจะมาถึง ๒ หรือ ๓ วัน นั่นแสดงว่า กระบวนการสื่อสารที่จะกระตุ้นให้ชาวบ้านเตรียมการรับมือไม่ชัดเจน การคำนวณปริมาณน้ำไม่มี ไม่มีตัวเลขบอกประมาณการเลยว่าน้ำจะท่วมประมาณกี่เซนติเมตร กี่เมตร ทำให้พื้นที่ล่อแหลมเสี่ยงภัย เช่น พื้นที่ใกล้ ๆ แม่น้ำชี มูล  รับทุกข์ไปเต็ม ๆ 

๓) การป้องกันภัยในอนาคต

ถ้าพูดไปให้ไกลแบบยโลกสวย ก็คงต้องช่วยกันปลูกป่า น้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในทุก ๆ เรื่อง ก่อนจะทำอะไรต้องพิจารณาให้ครอบคลุม ๔ มิติ  ในที่นี้ก็คือ มิติสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องช่วยกันอนุรักษ์ 

หากมองใกล้ในระยะกลาง ทุกชุมชนและพื้นที่คงต้องศึกษาวิธีจัดการน้ำและวางผังการสร้างชุมชนอย่างเป็นระบบ ไม่ให้ถนนขวางทางน้ำ ไม่ให้น้ำวิ่งหนีหายไป น้อมนำเอาเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้กับพื้นที่ของตน 

ใกล้ตัวที่สุดก็คือ ต้องติดตามข่าวสาร นักวิชาการก็ต้องวิจัยให้ได้ความรู้ เครื่องมือ และทักษะในการพยากรณ์ให้แม่นยำ รัฐบาลก็ต้องสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ  

ผมเองก็ไปสัมผัสน้ำท่วมที่มาพอควร ชาวบ้าน ชาวนา ไม่ได้มีปัญหาเท่าใด เพราะทุกคนค่อนข้างจะอุ่นใจ มั่นใจว่าจะมีการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล 

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

ประชาธิปไตย กับ "๓ เสาหลัก" (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์)

ศาสตราจาย์บุญชนะ อัตถากร ท่านบอกไว้ในบันทึกเรื่อง "การปฏิวัติคณะ รสช." (ผมบันทึกจับประเด็นไว้ที่นี่) ว่า ในการปฏิวัติของ "คณะราษฎร์" เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕  ประชาชนคนไทย มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ไม่ถึงร้อยละ ๒ ... จริง ๆ ท่านเขียนว่า ประชาชนคนไทยร้อยละ ๙๘ ไม่รู้จักประชาธิปไตย... นั่นหมายความว่า ความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยคราวนั้น ไม่เป็นประชาธิปไตย

จากการสืบค้นและศึกษา จากเว็บไซต์ต่าง ๆ  สามารถลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการปกครองในระบบประชาธิปไตย ได้ดังต่อไปนี้  
  • ก่อน พ.ศ. ๑ พระพุทธเจ้าสอนว่า 
    • ทรงสอนเกี่ยกับ อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และ ธรรมธิปไตย 
      • อัตตาธิปไตย คือ เอาตนเองเป็นใหญ่
      • โลกาธิปไตย คือ เอาผู้อื่นเป็นใหญ่ เอาผู้รู้ ผู้มีปัญญา ผู้นำเป็นใหญ่ 
      • ธรรมาธิปไตย คือ เอาธรรมเป็นใหญ่ 
    • ทรงสอนธรรมะสำหรับผู้ปกครองที่ยั่งยืน คือ ทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ ได้แก่ ทาน ศีล ปริจาคะ อาชชวะ (ซื่อตรง) มัทฑวะ (อ่อนโยน) ตปะ(เพียร) อักโกธะ (ความไม่โกรธ) อวิหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ขันติด (อดทน) และ อวิโรธนะ (หนักแน่นในธรรม)
ถ้าเปรียบเทียบการปกครองแบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน ที่ยึดเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก น่าจะตรงกับ "โลกาธิปไตย" ที่สุด และทุกระบอบการปกครองที่เรารู้จัก เช่น ราชาธิปไตย สมบูรณายาสิทธิราชย์ สังคมนิยม ฯลฯ แล้วแต่เป็น โลกาธิปไตย ทั้งสิ้น 

  • ประมาณปี พ.ศ. ๖๓ - พ.ศ. ๑๓๓ โปรแทกอรัส (Protagoras)  มีความเชื่อว่า 
    • ความจริงหรือความดีนั้นไม่มีอยู่จริง เป็นทัศนะส่วนบุคคลของแต่ละคนเท่านั้น
    • ไม่มีมาตรการใดจะสามารถตัดสินได้ว่า ทัศนะใดเป็นจริงมากกว่าทัศนะอื่น (ตอนนั้นกำลังเถียงกันเรื่องปฐมธาตุของโลก คนหนึ่งบอกว่า โลกประกอบด้วยไฟ คนหนึ่งบอกลม คนหนึ่งบอกดิน คนหนึ่งบอกน้ำ อีกคนบอกเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ นักปรัชญากลุ่มนี้สนใจ ว่า โลกเกิดจากอะไร? เปลี่ยแปลงหรือไม่)
    • ความยุติธรรมหรือคุณธรรม ไม่มีจริง  กฎหมายถูกสร้างขึ้นเพื่อจะควบคุมคนอ่อนแอ กฎหมายคืออำนาจ  อำนาจคือธรรม ผู้มีอำนาจสามารถสามารถจะฝ่าฝืนกฎหมายได้โดยไม่ถูกทำโทษ 
ถ้าเปรียบกับคำสอนเรื่อง อธิปไตย ๓ ของพระพุทธเจ้า น่าจะตรงกับ อัตตาธิปไตย มากที่สุุด ซึ่งนี่ก็ล่วงมาแล้วกว่า ๒,๔๐๐ ปี  ไม่มีใครในโลกนี้เชื่อแบบนี้แล้ว  เพราะปรัชญาวัตถุนิยมตามแนวของเดมอคริตุส (Democritus) ซึ่งสอนว่า โลกธาตุประกอบไปได้วยปรามาณูหรืออะตอม อันเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ (วัตถุ)ในปัจจุับัน ได้รับการพิสูจน์ และเจริญรุ่งเรืองยิ่งในยุคนี้ (เรียกว่า วัตถุนิยม)
  • ประมาณ พ.ศ. ๗๐ - พ.ศ.๑๔๐ นักปราชญ์ชาวกรีก ณ กรุงเอเธนส์ โสเครตีส โสคราตีส หรือ โสกราตีส (Socrates)  สอนว่า 
    • สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์ก็คือความดี แต่ละบุคคลนั้นหากประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี และมุ่งเน้นแสวงหาความจริงและคุณค่าแห่งปัญญา จะถือว่าเป็นผู้ฉลาดและผู้เจริญที่สุด  
    • มนุษย์จะมีชีวิตที่ดีและมีความสุขถ้ายึดมั่นในคุณธรรม ผู้ปกครองต้องมีคุณธรรมและทำให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักว่าคุณธรรมคือคุณค่าของชีวิต   
    • คุณธรรมเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ค้นพบได้ สอน และเรียนรู้ได้ 
    • เขากล่าวว่า ไม่มีมนุษย์คนใดทำความชั่วอย่างจงใจ หมายถึง มนุษย์ที่ทำความชั่วนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากความไม่รู้ในความดี ไม่มีปัญญารู้เกี่ยวกับศีลธรรม หากบุคคลใดรู้และเข้าใจในคุณธรรมและความดีอย่างแท้จริงแล้ว เขาจะไม่ทำความชั่ว 
    • เขาเชื่อว่า ผู้ปกครองต้องมาจากผู้มีความรู้หรือเป็นปราชญ์  เพราะผู้ที่เป็นปราชญ์นั้น ย่อมทำแต่ความดี รักษาความดี และความดีนั่นเองที่จะทำให้สังคมและประชาชนมีความสุข 
    • เขาเชื่อว่า รัฐที่ดีที่สุดคือรัฐที่ต้องมีราชาที่เป็นนักปราชญ์ หรือมีนักปราชญ์เป็นราชา  ผู้นำหรือราชา จะต้องเสียสละเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จะต้องเป็นผู้ทรงธรรม 
สิ่งที่เป็นแก่นหลักของยุคของโสกราตีสคือ "เหตุผล" หรือเรียกว่า "เหตุผลนิยม" โดยยึดหลักคุณธรรมศีลธรรมเป็นแกน โดยมีการแบ่งแยกความจริงออกเป็น ๒ คือความจริงจากการสัมผัสและความจริงโดยเหตุผล เกิดความแตกต่างระหว่าง Perception (สัญชาน) Imagine (จินตภาพ) Reason (เหตุผล) และ Concept (มโนภาพ) โดยใช้การตั้งคำถามและตอบคำถาม ถก-โต้เถียง เป็นเครื่องมือในการศึกษา ซึ่งได้ตามลำดับได้แก่ สงสัย (Suspect) สนทนา (Conversation)  หาคำจำกัดความ (Defination)  อุปนัย (Inductive) และนิรนัย (Deductive) วิธีการแบบนี้รู้จักในชื่อรวมว่าเป็นการศึกษาแบบ วิภาษวิธี (Dialactic) 

หากเปรียบเทียบกับ คำสอนทางพุทธศาสนา เครื่องมือในการเรียนรู้ของโสกราตีส เป็นการใช้ความคิด ใช้จิตเป็นเครื่องมือเรียนรู้ เป็นปัญญาจากจิต หรือเรียกว่า จินตมยาปัญญา ศรัทธาหรือความเชื่อที่เกิดขึ้นจึงมีปัญญาทางโลกเป็นฐาน  ดังนั้นจึงน่าจะอยู่ในระดับ โลกาธิปไตย 
  • ประมาณ พ.ศ. ๑๑๖ -๑๙๖ พลาโต หรือ เพลโต (Plato) นักจิตวิทยาชาวกรีก ลูกศิษย์ของยูคลิเดส (Euclides) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของโสกราตีสอีกที เขาเริ่มศึกษางานของโสกราตีสตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี จนกระทั่งโสกราตีสถูกประหารชีวิตในปี พ.ศ. ๑๔๔ ก่อนมาศึกษาอยู่กับยูคลิเดส จึงอาจเรียกได้ว่า เขาก็เป็นลูกศิษย์ของโสกราตีสก็ไม่ผิด ... (เราเองก้รู้เรื่องเกี่ยวกับโสกราตีสจากงานของพลาโตนี้เอง (ที่นี่เขียนดี)) พลาโตเห็นด้วยกับโสกราตีสเรื่องการยึดมั่นในคุณธรรม ศีลธรรมเป็นสิ่งสูงสุดที่ทำให้มนุษย์อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข แต่เขาไม่เชื่อว่า ผู้ที่ทำชั่วนั้นเป็นเพราะไม่รู้จักความดีหรือไม่เข้าใจในศีลธรรม  แต่อาจเกิดจากความไม่ยั้งคิด  พลาโต้ได้นำเสนอหลักในการปกครองแบบรัฐไว้ชัดเจน ในหนังสือชื่อ "The Republic" 
    • อุตมรัฐ (the republic เป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งของพลาโต) หรือ รัฐในอุดมคติ ที่มีระบอบการปกครองที่ดีที่สุดควรจะเป็นแบบ อภิชนธิปไตย (Aristocracy) ควรประกอบไปด้วยกลุ่มคน ๓ ชนชั้นปกครอง ได้แก่ ๑) ชนชั้นสูง ผู้ถูกคัดเลือกจากระบบการศึกษา ต้องเป็นผู้ทรงธรรม ทรงปัญญา เป็นปราชญ์ ๒) ชนชั้นกลางที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือนัำพิทักษ์ชน เช่น ตำรวจ ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และ ๓) ชนชั้นล่าง คือ ราษฎร ชนชั้นที่ถูกปกครอง 
    • คุณธรรมที่สำคัญสำหรับการเมืองการปกครอง ได้แก่ 
      • ปัญญา (Wisdom)  คือ ความรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี สามารถที่จะอธิบายได้ด้วยเหตุผล  มนุษย์ มักทำเรื่องไม่ดีเพราะโง่เขลา ทำให้ชีวิตมีความทุกข์  การรูู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี จะทำให้มนุษย์ทำแต่ความดีเพราะ ความดีมีผลเป็นความสุข 
      • ความกล้าหาญ (Courage) คือ ความกล้าหาญที่จะทำความดี เอาชนะต่อความกลัวที่จะยึดมั่นต่อคุณธรรม  รู้ว่าควรจะกลัวอะไร ไม่กลัวอะไร 
      • การควบคุมตนเอง (Temperance) ไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรม ผู้นำที่ดีจะต้องปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง
      • ความยุติธรรม คือ การยึดมั่นคุณธรรมและศีลธรรมต่อผู้อื่น ต่อสัมคม การประพฤติตนที่แสดงออกถึงการเคารพสิทธิของผู้อื่น
    • เขาแยกประเภทของคุณธรรมออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ คุณธรรมทางสังคม และ คุณธรรมทางปรัชญา  การที่คนทำสิ่งใด ๆ ตามที่สังคมเห็นว่าดีแม้บุคคลจะไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องปฏิบัติ อาจเรียกว่ามีคุณธรรมทางสังคมได้  แต่หากจะเข้าถึงความดีสูงสุดคือ คุณธรรม บุคคลจะต้องเข้าใจเหตุผล รู้ถึงเป้าหมายสูงสุด 
สังเกตว่า พลาโต ให้ความสำคัญกับ "คนดี" "ความดี" ละ "คุณธรรม" และเชื่อว่า การปกครองที่ดีที่สุดจะต้องปกครองด้วย "คนดี" มีคุณธรรม ที่ได้รับการคัดเลือกทางการศึกษา ... ไม่ใช่แค่เป็นราชาทางสายเลือด หากเปรียบเทียบแนวคิดนี้กับ อธิปไตย ๓ น่าจะตรงกับ โลกาธิปไตย นั่นเอง 

สังเกตว่า ประวัติศาสตร์ของประเทศใด ๆ ที่มีการสืบทอดผู้นำในระบบกษัตริย์นั้น จะมีกระบวนการศึกษาและฝึกฝน สำหรับคนที่จะขึ้นปกครองเป็นระบบกษัตริย์ อย่างดีเยี่ยม  และกษัตริย์ใด ๆ ผู้สวรรคตไป ก็ย่อม มอบหมายหน้าที่ปกครองไว้กับผู้ที่เหมาะสมที่สุด ... เพราะหากไม่ ราชวงศ์นั้นก็ย่อมจะล่มสลายไปโดยไว  เช่น  ลูกชายของเล่าปี่ เป็นต้น 
  • ประมาณปี พ.ศ. ๑๕๙ - พ.ศ. ๒๒๑  อริสโตเติล (Aristotle) ลูกศิษย์เอกของพลาโต ซึ่งเป็นศิษย์ของโสกราตีส  นักปรัชญาชาวกรีก ๓ คนนี้ มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุคนั้น  หากเทียบกันใน ๓ คนนี้ อริสโตเติลมีชื่อเสียงที่สุด เขามีผลงานกว่า ๑,๐๐๐ เล่ม  เป็นผู้ปูพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นบิดาแห่งวิชาชีววิทยาและตรรกศาสตร์ คำสอนของเขาหลายเรื่อง ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะทางศาสนา ศิลปะ และการปกครอง สิ่งที่อริสโตเติลเขียนไปปรากฎอยู่ในคัมภีร์ทางศาสนา และ อริสโตเติลเองก็เป็นอาจารย์สอนของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์
    • อริสโตเติล มีความเชื่อและสอนในเรื่องการยึดมั่นในศีลธรรมและความดีเหมือนกับพลาโต 
    • แต่เขามีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นต้องอยู่ในสังคม การเมืองนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะนำและทำให้คนนั้นมีชีวิตที่มีความสุข การเมืองนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์จะสามารถดึงศัยกภาพของตนเองออกมาได้มากที่สุดก็ด้วยการเข้ามีส่วนร่วมในการเมืองในฐานะของพลเมือง ซึ่งการดึงศักยภาพของตนเองนั่นเองที่นำมาสู่ความสุขของมนุษย์ 
    • เขามีความเห็นว่า พลเมืองทุกคนควรจะมีส่วนร่วมกับการปกครองรัฐ ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นสูงหรือชนชั้นปกครองเท่านั้น  ... อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ผู้หญิงและเด็กซึ่งไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่าใช่พลเมือง พลเมืองต้องมีเวลา มีศักยภาพ และมีจิตใจสูง 
    • อริสโตเติลศึกษารูปแบบการปกครองนครรัฐ ออกเป็น ๖ แบบ ได้แก่
      • แบบราชาธิปไตย (Monarchy) ที่มีผู้นำเป็นปราชญ์ เป็นผู้มีคุณธรรม 
      • แบบทรราชย์ (Tyranny) ที่มีผู้นำชั่ว ไม่มีคุณธรรม 
      • แบบอภิชนาธิปไตย (Aristocracy) ที่มีกลุ่มผู้นำที่เป็นปราชญ์ เป็นผู้มีความรู้ คุณธรรม เสียสละ 
      • แบบคณาธิปไตย (Oligarchy) ที่มีกลุ่มคณะคนที่เห็นแก่พวกพ้องเป็นผู้ปกครอง หรืออาจเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกลุ่มคนชั้นสูง หรือคนรวย
      • แบบประชาธิปไตย (Democracy) ที่ยึดความพอใจของประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ หรืออาจเรียกว่า การปกครองโดยคนจน  
      • แบบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ (Polity) เป็นการปกครองที่อยู่กลางระหว่าง คณาธิปไตยและประชาธิปไตย   มีการแต่งตั้งตัวแทนทั้งคนชนชั้นสูง (คนรวย) คนชนชั้นกลาง และคนชนชั้นล่าง เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองบริหารงาน 
    • อริสโตเติลเชื่อว่า การปกครองที่ดีที่สุดคือ การปกครองแบบ Polity  ... ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแแบบรัฐสภา ที่เราเข้าใจทุกวันนี้ 
    • อริสโตเติลบอกว่า รูปแบบที่ไม่ดีที่สุดคือ คณาธิปไตย นั่นเอง...
สังเกตว่า การปกครองแบบที่เรารู้จักกันขณะนี้ทั้งหมด อริสโตเติลคิดค้นและรู้จักแล้วตั้งแต่ ๒,๓๐๐ ปี ที่ผ่านมา ... เรายังเวียนว่ายกันอยู่ในวังวน" 

สัเกตว่า คำสอนของอริสโตเติล ซึ่งครอบคลุมสุมอิทธิพลต่อสังคมยาวนานกว่า ๑,๘๐๐ ปีนั้น ซึมซาบเข้าไปในทั้งระบบชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  ...  ผมสรุปลงตรงนี้เลยว่า  คำว่า "๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ " นั่นเอง ที่ทำให้ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ลูกศิษย์ของอริสโตเติล ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรและยั่งยืนพอสมควร

ขอสรุปสาระสำคัญที่สุด ที่ผมอยากจะบอกท่าน ดังนี้ครับ 
  • การปกครองที่เกิดขึ้นก่อนจะ พ.ศ. ๑ และเจริญรุ่งเรืองมายาวนานกับ "ชาติคน" ที่ปัจจุบันเรียกว่า ชาติไทย ต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่เรียกว่า "ธรรมาธิปไตย" นั้น ค่อย ๆ ถูกทำลายไป ... และโดยเฉพาะกับการเลือกตั้งในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ นี้ ที่คนรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อในบันทึกที่ว่ามานี้ 
  • ทั้งโสกราตีส พลาโต และอริสโตเติล เข้าถึงความสุขและความจริงของธรรมชาติเพียงในระดับความคิด ด้วยความคิดเท่านั้น อาจจะรู้จักสมถะและโยนิโสมนสิการในบางส่วน แต่ไม่รู้จักวิปัสนาอันพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และเมตตรเผยแพร่  พวกเขาเหล่านั้นจึงไม่ได้เข้าถึงความจริงอันสูงสุดของธรรมชาติ  คือเข้าไม่ถึง "ธรรม" หรือ "พระธรรม"  พวกเขาจึงไม่รู้จัก "ธรรมธิปไตย" ... สิ่งที่พวกเขารู้ได้และสั่งสอนสืบต่อมาก็เป็นเพียง "โลกาธิปไตย" อันติดอยู่วัฎจักรอยู่นั่นเอง 
  • สิ่งที่คนไทยควรทำคือ ธำรง ๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไว้ตราบนานเท่านั้น เพื่อจะได้เปิดโอกาสให้ลูกหลานเราเข้าใกล้ "ธรรมธิปไตย" อันจะส่งผลให้ "พระธรรม" คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ถูกต้องทำลายไป 
ขอบคุณครับ .... 
ป.ล.
  • ผมว่า โสกราตีส อาจจะเข้าถึงความจริงบางอย่าง หากพิจารณาจากคำกล่าวที่เขาบอกว่า "ไม่มีใครทำชั่วโดยจงใจ" จะรู้ว่าใครที่เข้าถึง "ความดีที่แท้จริง" เขาย่อมไม่ถอยหลัง .... 
  • ขณะที่ผมเขียนบันทึกนี้ ประชาชนชาวฝรั่งเศสเรือนแสน กำลังเดินขบวนขับไล่ประธานาธิบดี มาคร็องค์  ชาวอเมริกันกำลังปวดหัวกับการฟ้องร้องประธานาธิบดีทรัมส์ อังกฤษกำลังยุ่งยากกำการขอต่ออายุในเบร็กสิด  ... ประเทศเหล่านี้ คือต้นแบบของระบอบประชาธิปไตยโลก 
  • แสดงว่า สิ่งที่ฝ่ายล้มเจ้ากำลังต้องการ ไม่ใช่ระบบประชาธิปไตย สิ่งที่เขาต้องการก็เป็นเพียง ทุนนิยมเสรี ที่พวกเขาจะได้เข้ามายึดครองผลประโยชน์จากพวกที่ยึดอยู่ในปัจจุบัน เท่านั้นเอง 
หรือท่านว่าไง ....

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ข้อคำควรคำนึง ๕ ประการ ก่อนจะสร้างห้องเรียนแห่งศตวรรษที่ ๒๑ (Smart Classroom)

ขอเสนอข้อควรคำนึง ๕ ประการ สำหรับผู้อ่านที่กำลังมีส่วนในการสร้างห้องเรียนแห่งศตวรรษที่ ๒๑ หรือมักเรียนกว่า ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Calssroom) ดังนี้ ครับ

๑) เรียนแบบกลุ่มได้สะดวก
  • เก้าอี้เลื่อนได้สะดวก 
  • โต๊ะเลื่อนได้สะดวก ประกอบโต๊ะกันเป็นกลุ่มได้สะดวก ให้ผู้เรียนนั่งหันหน้าเข้าหากันได้สะดวก สำหรับ ๔-๘ คน 
  • ฯลฯ
๒) มีสื่อหรือนวัตกรรมการสืบค้นความรู้เดิมได้สะดวก
  • ต้องมีอินเตอร์เน็ต wifi ความเร็วเพียงพอ สำหรับการเชื่อมต่อมือถือส่วนตัวได้ทุกคน 
  • มีคอมพิวเตอร์ หรือเทปเล็ตส่วนกลางประจำกลุ่มย่อย (กรณีจัดกลุ่มย่อย) ที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อกับระบบของห้องเรียน 
  • มีสื่อหรือนวัตกรรมสร้างหรือเสริมบรรยากาศการเรียนรู้อย่างสะดวก เช่น มีตู้หนังสือและหนังสือที่น่าสนใจ ประดับด้วยรูปภาพแสดงนวัตกรรมการเรียนรู้ทีสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ 
  • ฯลฯ
๓) มีอุปกรณ์เอื้อให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มย่อยได้สะดวก
  • มีกระดานและปากกา non-permanant ประจำกลุ่มย่อย เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในกลุ่มย่อยได้สะดวก 
  • มีกระดาษฟลิบชาร์ทและสีชอร์ค สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างสื่อนำเสนอผลงานกลุ่มย่อย
  • ฯลฯ 
๔) มีระบบสนับสนุนการนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Show & Share) กลุ่มใหญ่ได้สะดวก
  • มีโปรเจคเตอร์และเครื่องฉายที่มีความจ้า (ความเข้มแสง) และขนาดใหญ่พอที่คนอยู่ในห้องจะมองเห็นได้ทุกจุด 
  • มี Visual  สำหรับการเขียนแสดงต่อกลุ่มใหญ่ 
  • มีไมค์ลอยอย่างน้อย ๒ ตัว (เน้นว่าเป็นไมค์ลอยอย่างดี) ที่สามารถส่งสัญญาณระยะไกลจากท้ายห้องได้ 
  • ระบบเอื้อให้ส่งข้อมูลผลงานของกลุ่มย่อย ไปนำเสนอบนระบบฉายภาพแสดงต่อห้องเรียนได้อย่างสะดวก เช่น  มีโปรแกรมที่ส่งข้อมูลจากแทปเล็ตของกลุ่มย่อยไปนำเสนอบนจอโปรเจ็ตเตอร์ได้สะดวก หรือแบบ Realtime 
  • ฯลฯ 
๕) ต้องมีระบบจัดเก็บสารสนเทศที่ดีมีประสิทธิภาพ
  • มีระบบที่สามารถรองรับการบันทึกวีดีโอหรือข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนการสอนได้สะดวก และมีพื้นที่จัดเก็บเพียงพอ 
  • ลักษณะข้อมูลหรือสารสนเทศที่จัดเก็บไว้ ต้องง่ายและเอื้อต่อการนำไปใช้ในการสร้างสื่อหรือนวัตกรรมการเรียนการสอนต่อไป  เช่น ง่ายต่อการนำไปตัดต่อ หรือจัดส่งไปให้อาจารย์ผู้สอน ฯลฯ
  • ระบบสามารถเข้าถึงหรือนำข้อมูลไปเผยแพร่ออนไลน์ได้สะดวก เอื้อต่อการสร้างระบบ E-learning หรือ Flipclassrrom  หรือการจัดการเรียนรู้แบบต่าง ๆ ต่อไป 
  • ฯลฯ
สำหรับสำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผมเสนอให้ออกแบบให้เอื้อต่อการทำเป็นสตูดิโอเพื่อบันทึกการเรียนการสอนของอาจารย์ด้วย คือจัดทำระบบแสง สี และเสียง ที่เอื้อต่อการบันทึกสื่อการศึกษาคุณภาพ ... เรียกว่า ยิงนัดเดียวได้นกสองตัวไปเลย.... 


วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ระบบช่วยจัดทำ มคอ.๓-๕ รายวิชาศึกษาทั่วไป

วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ สำนักศึกษาทั่วไป จัดอบรมเชิงปฏิบัติการอาจารย์ผู้ประสานงานรายวิชาศึกษาทั่วไป เพื่อจัดทำ มคอ.๓ และ มคอ.๕ โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สำนักศึกษาทั่วไปพัฒนาขึ้น (โดยคุณสุลีพร อยู่หว้า) เป้าหมายปลายทางคือ เอื้อให้อาจารย์ผู้ประสานงานและอาจารย์ผูสอนจัดการเรียนการสอนได้อย่างสะดวกที่สุด ไม่ต้องเสียเวลากับงานเอกสารมากนัก  ซึ่งนอกจากเรื่อง มคอ. แล้ว ยังมีระบบอื่น ๆ ทั้งที่เป็นความลับเฉพาะผู้ประสานงานรายวิชาและส่วนที่มุ่งประชาสัมพันธ์สื่อสารกับอาจารย์และผู้เรียนด้วย เช่น เว็บไซต์รายวิชา เว็บไซต์อาจารย์ เป็นต้น

บันทึกนี้ผมจะมาพาอาจารย์ผู้อ่านทำ มคอ.๓ มคอ.๕ ของรายวิชาศึกษาทั่วไป ตามหลักสูตรหมวดวิชาศึกษาทั่วไป (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๕๘) ที่มาที่ไปและหลักการเขียนผมเคยบันทึกไว้แล้วที่นี่ ที่นี่ และที่นี่  หลังจากการทำในระบบครั้งนี้แล้ว ต่อไป การทำ มคอ. จะเป็นเรื่องง่ายใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงครับ

วิธีทำ มคอ.๓

๑) เปิดเว็บเบราเซอร์ เช่น google Chrome ฯลฯ แล้วเติม  genedu.msu.ac.th/mko3-5 ลงบนช่อง URL แล้วกด Enter ครับ

๒) คลิกที่เมนู "เข้าสู่ระบบ" แล้วเติม Username และ Password ที่ท่านได้รับจากสำนักศึกษาทั่วไป (ท่านจะรู้ก็ต่อเมื่อท่านเป็นผู้ประสานรายวิชาหรือเป็นผู้ที่ผู้ประสานงานฯ มอบหมายเท่านั้น)

๓) ตอบข้อมูลในแต่ละหมวด โดยคลิกอักษรสีน้ำเงินและขีดเส้นใต้เท่านั้น ซึ่งจะลิงค์ไปสู่ระบบรับข้อมูลเข้า  ระบบจะนำข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากหลักสูตรหมวดวิชาศึกษาทั่วไป ทำให้ท่านสะดวกมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเติมข้อความในหมวดนั้น ๆ

หลักคิดและหลักการในการเขียนแต่ละหมวด ดังนี้ครับ

หมวดที่ ๒  จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์
  • กำหนดจุดมุ่งหมายของรายวิชา การเขียนจุดมุ่งหมายของรายวิชา  มีหลักการ (ซึ่งผมเคยเขียนไว้ที่นี่แล้ว) ดังนี้ 
    • ควรเขียนให้ครบถ้วนผลการเรียนรู้ (LO) ทั้ง ๕ ด้าน ตามกรอบ มคอ.๓
    • ด้านคุณธรรม จริยธรรม ให้ใช้คำว่า "มี" ก่อนหน้า คุณลักษณะประสงค์ เช่น มีวินัยด้านการตรงต่อเวลา มีจิตอาสา มีความเอื้ออาทร ฯลฯ
    • ด้านความรู้ ให้ใช้คำว่า "สามารถอธิบาย" หากต้องการความเข้าใจ.หรือ "บอกได้" หากต้องการให้นิสิตจดจำสิ่งนั้นได้ 
    • ด้านทักษะทางปัญญา ให้ใช้คำว่า "สามารถ.... ได้" โดยขยายให้ลึกถึงคำกริยา เช่น
      • สามารถนำความรู้ที่เรียน มาใช้ในการวางแผนและออกแบบการดำเนินงานได้
      • สามารถจัดการและดำเนินงานตามแผนที่ออกแบบไว้ได้
      • สามารถแก้ปัญหาในการดำเนินงานและสถานการณ์ต่างๆ ได้
      • ฯลฯ
    • ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ให้เขียนชัดเจนว่า เป็นความรับผิดชอบด้านใด เช่น มีความรับผิดชอบต่อตนเองในงานที่ได้รับมอบหมาย ฯลฯ
    • ด้านทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จะใช้คำที่ชัดเจนเช่นกัน
      • สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ สามารถใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษได้
      • สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานได้
      • ฯลฯ
หมวดที่ ๔ การพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาตามกรอบ TQF  ๕ ด้าน

"ผลการเรียนรู้ที่ต้องการจะพัฒนา"  แต่ละด้านแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ สิ่งที่ต้องการพัฒนาหรือผลลัพธ์ทางการเรียน (Learning Outcome) วิธีการสอน และวิธีการประเมินผล  แนวปฏิบัติในการเขียนแต่ละส่วน มีดังนี้

แนวทางการเขียน Learning Outcome

๑) คัดลอกเอาผลการเรียนที่คาดหวังหลักของหลักสูตรหมวดวิชาศึกษาทั่วไป  ซึ่งจะโปรแกรมจะแสดงไว้หลังวงกลมระบายทึบ  โดยให้คัดลอกเอาหมายเลขหัวข้อของผลการเรียนฯ นั้นมาด้วย เพื่อให้ทราบถึงความเชื่อมโยงระหว่างรายวิชาและหลักสูตรฯ  
๒) พิจารณาปรับแก้ไขข้อความที่คัดลอกมาจากหลักสูตรฯ (ตามข้อ ๑)) ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของรายวิชา ส่วนใดที่ไม่เกี่ยวให้ตัดออก
๓) เขียนเพิ่มเติมผลการเรียนรู้เฉพาะของรายวิชาอื่นๆ  เป็นข้อ ถัดๆ ไป

แนวทางการเขียนวิธีการสอน 

สามารถเขียนได้ ๒ แบบ ได้แก่ เขียนเป็นชื่อรูปแบบการสอนที่รู้กันทั่วไป หรือ เขียนอธิบายกิจกรรมการเรียนการสอนพอเข้าใจพอสังเขป เช่น

๑) ให้เขียนรูปแบบการเรียนการสอน ตัวอย่างเช่น
  • สอนแบบรรยาย (Lecture) ประกอบสื่อ 
  • สอนแบบบรรยายสอดแทรกคุณธรรม 
  • สอนแบบบรรยายแบบมีส่วนร่วม (Integrated Lecture) ถาม-ตอบ
  • สอนแบบสาธิตประกอบการบรรยาย (Deomonstrated Lecture)
  • สอนโดยใช้กิจกรรมในชั้นเรียน (Activity-based Learning, ABL)
  • สอนโดยใช้กรณีศึกษา (Case Study)
  • สอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อม (Small Group Disscussion) 
  • สอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning)
  • สอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning)
  • สอนโดยการมอบหมายงานเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เช่น ทำใบงาน ฯลฯ 
  • สอนโดยใช้การบริการเป็นฐาน (Service-based Learning) 
  • สอนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community-based Learning) 
  • สอนโดยใช้กลุ่มร่วมมือ (Cooperative Learning) 
  • สอนโดยใช้การเล่าเรื่อง (Story Telling)
  • สอนโดยให้ลงมือปฏิบัติ (Learning by doing)
  • มอบหมายงานกลุ่ม
  • สอนโดยให้นำเสนอและวิพากษ์ 
  • ฯลฯ 
๒) เขียนกิจกรรมการเรียนการสอนเฉพาะของรายวิชา เช่น
  • ให้ทำบัญชีรับ-จ่าย 
  • ให้ทำบันทึกความดี
  • ให้ทำบันทึกการบริโภค 
  • ให้ทำบันทึกอนุทิน 
  • สอนโดยใช้เพลง 
  • สอนโดยให้สืบค้นออนไลน์  (Internet-based Learning)
  • สอนโดยใช้โทรศัพท์มือ (Mobile Learning) 
  • ฯลฯ
แนวทางการเขียนวิธีประเมินผล

สามารถเขียนได้ ๒ ลักษณะ ได้แก่ เขียนนักการศึกษา  และเขียนอธิบายว่าประเมินอะไรด้วยเครื่องมือหรือวิธีการอะไร เช่น

๑) เขียนวิธีการประเมินแบบนักการศึกษา โดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน ๔ ชนิด ได้แก่ แบบทดสอบ แบบบันทึกการสังเกต (หรือแบบสังเกต หรือแบบบันทึก) แบบประเมิน และแบบวัด ตัวอย่างเช่น

  • ประเมินความรู้ด้วยแบบทดสอบ เช่น การสอบกลางภาค และ/หรือ ปลายภาค
  • ประเมินพฤติกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านคุณธรรม จริยธรรม  เช่น ความรับผิดชอบ ความตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การทำงานเป็นทีม ฯลฯ ด้วยแบบบันทึกการสังเกตพติกรรม (ต้องออกแบบสังเกตตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้)
  • ประเมินความสามารถหรือทักษะทางปัญญา โดยใช้แบบวัดความสามารถด้านนั้น ๆ 
  • ประเมินเจตคติ ความพึงพอใจ หรือทัศคติ โดยใช้แบบประเมินความพึงพอใจ 
  • ฯลฯ 
๒) ให้เขียนว่าประเมินอะไรด้วยวิธีการหรือเครื่องมืออะไร เช่น 
  • ประเมินวินัยด้านการตรงต่อเวลาจากพฤติกรรมการเข้าเรียนและการส่งงาน 
  • ประเมินวินัยด้านความรับผิดชอบจากพฤติกรรมการส่งงาน
  • ประเมินความรู้จากการทำใบงานหรือใบกิจกรรม 
  • ประเมินการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ด้วยการให้ทำใบงานหรือใบกิจกรรม 
  • ประเมินความสามารถในการวางแผนและออกแบบแผนงาน จากเค้าโครงงาน 
  • ประเมินความสามารถในการทำงานเป็นทีม จากผลการดำเนินโครงงาน หรือ ชิ้นงาน
  • ประเมินความทักษะการสื่อสารจากการแสดงออก การนำเสนอ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 
  • ฯลฯ 
สรุปคือเขียนอย่างแบบใดก็ได้ครับ ขอให้ผู้อ่านเข้าใจชัดเจนว่า  จะประเมินอะไรด้วยเครื่องมือหรือวิธีการแบบไหน? 

หมวดที่ ๕ แผนการสอนและการประเมินผล

แนวปฏิบัติในการเขียน มีดังนี้

๑) อัปโหลดสื่อการสอน
  • พาวเวอร์พอยท์  ไฟล์เอกสารที่เป็นไฟล์ pdf หรือ ไฟล์สื่อใด ๆ ที่มีขนาดไม่ใหญ่เกินไป  ไม่ควรเป็นวีดีโอที่มีความยาวเกิน ๕ นาที 
  • สื่อที่อัปโหลดไว้นี้ จะอยู่ในฐานข้อมูลสำหรับการสร้างเว็บไซต์รายวิชา ที่นิสิตและอาจารย์สามารถเข้าถึงได้ ดาวน์โหลดได้
๒) เขียนแผนการสอน ซึ่งแสดงรายละเอียดถึงระดับบทเรียนหรือหน่วยการเรียนรู้  มีสิ่งที่ต้องเติมดังนี้

สิ่งที่ต้องเติมในแต่ละช่อง มีดังนี้

  • สัปดาห์ที่ ..... ตัวโปรแกรมจะเรียงตามหมายเลขนี้  
  • หัวข้อ/รายละเอีด ให้เติมชื่อหน่วยการเรียน หรือชื่อบทเรียน หรือชื่อกิจกรรม  
  • จำนวนชั่วโมง ให้เติมจำนวนชั่วโมงในแต่ละคาบเป็นจำนวนเต็ม แตกต่างกันไปตามรายวิชา เช่น 
    • วิชา 2(2-0-4) ให้เติมเลข 2 
    • วิชา 2(1-2-3) ให้เติมเลข 3 
  • ผลการเรียนรู้ ให้คลิกเลือกช่องวงกลมเล็กให้ทึบ เพื่อกำหนดผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักสูตรหมวดวิชาศึกษาทั่วไป แนะนำให้คลิกร่าง "พิมพ์รายงาน มคอ.๓" ก่อน แล้วเปิดไฟล์ doc  เปิดตรวจสอบได้สะดวกจาก "ผลการเรียนรู้ที่ต้องพัฒนา" ที่ได้กำหนดไว้แล้ว 
  • วัตถุประสงค์การเรียนรู้  ช่องนี้ให้เติมผลการเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้หรือบทเรียนนั้น ๆ  
  • กิจกรรมการเรียนรู้/วิธีสอน ให้เขียนบอกกิจกรรมการเรียนการสอนพอให้ผู้อ่านซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สอนและนิสิตผู้เรียน เข้าใจร่วมกันพอสังเขป 
  • คลิกเลือกสื่อการสอนที่อัปโหลดไว้  
  • วิธีประเมิน  ให้เขียนวิธีประเมินในสัปดาห์หรือบทเรียนนั้น ๆ  ถ้ามี หากไม่มีให้เว้นว่างไว้ 
  • อาจารย์ผู้สอนให้คลิกเลือก "อาจารย์ประจำกลุ่ม"
หากพิมพ์ต้องการแก้ไข โปรแกรมนี้จะไม่สามารถแก้ไขได้โดยสะดวกนัก  ให้ใช้เทคนิคดังนี้ หากต้องการแก้ไขข้อมูลในสัปดาห์ที่ 1  ให้ดำเนินการดังนี้  
  • เติมหมายเลขสัปดาห์เป็น เลย "1"  ลงในแถวใหม่
  • ก๊อปปี้ส่วนที่ถูกต้องแล้วลงในแต่ละคอลัมน์ 
  • เติมหรือแก้ไขตามต้องการ  แล้วกดเพิ่มข้อมูล 
  • กดลบแถวเดิมและยืนยันการลบ เป็นอันเรียบร้อยครับ 
๓) แผนการประเมินผลการเรียนรู้  
  • ให้เขียนบอกวิธีประเมินผล  โดยเขียนแบบรวบรวมทั้งหมดทุกหน่วยการเรียน (บทเรียน) เข้าด้วยกัน เช่น 
    • การเข้าร่วมกิจกรรม 
    • สอบกลางภาค 
    • สอบปลายภาค
    • ใบงาน (งานเดี่ยว) 
    • โครงงาน (งานกลุ่ม)
    • ฯลฯ
  • คลิกทึบเพื่อเลือกความสอดคล้องกับ TQF ๕ ด้าน
  • เติมสัดส่วนคะแนน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 
หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน 

๑) ตำราและเอกสารหลักที่ใช้ในการเรียนการสอน  ให้เขียนถึง เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ๐๐๓xxxxx  ...(ชื่อวิชา).....  เช่น

  • เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ๐๐๓๒๐๐๔ ความเป็นมนุษย์และการเรียนรู้ 
  • ฯลฯ

๒) เอกสารและข้อมูลสำคัญที่นิสิตจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม   คือ เอกสารหรือหนังสือ ที่ผูู้เรียนจำเป็นต้องไปศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง  ให้เติมแห่งอ้างอิงของหนังสือนั้น   เช่น

  • ปรียานุช ธรรมปิยา. วิกฤตเศรษฐกิจ. .อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) .พิมพ์ครั้งที่ ๓. ๒๕๕๗  
  • ฯลฯ
  • หรืออาจเขียนเป็นข้อตกลง เช่น  ให้เป็นไปตามที่อาจารย์ผู้สอนกำหนด  ฯลฯ 
๓) เอกสารและข้อมูลแนะนำที่นิสิตควรศึกษาเพิ่มเติม  ให้เขียนเติมแหล่งอ้างอิง 

หมวดที่ ๗ การปรับปรุงและการดำเนินงานของรายวิชา
  • กลยุทธ์การประเมินประสิทธิผลของรายวิชาโดยนักศึกษา ได้แก่
    • นิสิตประเมินประสิทธิผลของการเรียนการสอน ผ่านระบบประเมินอาจารย์ผู้สอนปลายเปิด 
    • สำนักศึกษาทั่วไปทำวิจัยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในภาพรวม กลุ่มเป้าหมายเป็นนิสิตในแต่ละรายวิชา
    • หรืออาจารย์เขียนเพิ่มเติมกลยุทธ์อื่น ๆ 
  • กลยุทธ์การประเมินการสอน ได้แก่
    • นิสิตทุกคนต้องเข้าประเมินการสอนของอาจารย์ผ่านระบบประเมินออนไลน์  
    • ฯลฯ
  • การปรับปรุงการสอน ได้แก่ 
    • ประชุมอาจารย์ผู้สอนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ภาคการศึกษาละ ๑ ครั้ง 
    • ฯลฯ
  • การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในรายวิชา
    • เข้าร่วมกระบวนการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ของสำนักศึกษาทั่วไป ปีการศึกษาละ ๑ ครั้ง 
    • ประชุมพิจารณาผลการเรียนของแต่ละภาคเรียน 
    • ฯลฯ
  • การดำเนินการทบทวนและการวางแผนปรับปรุงประสิทธิผลของรายวิชา
    • ทบทวนและปรับปรุงรายวิชา ตามรอบประกันคุณภาพการศึกษา ทุก ๔ ปี 


ขอขอบพระคุณอาจารย์และบุคลากรทุกท่านมากครับ อ.สมศักดิ์ อ.นพดล อ.ปภัสสร อ.อินอร อ.ประภาส อ.อำนวย อ.กฤษกร อ.ณภัสวรรณ อ.สาายไหม อ.ทวีพงษ์ อ.ชุน อ.อาจินต์ อ.วรากร อ.วาสนา อ.นันทวรรณ และคุณสุดารัตน์ (จากคณะการท่องเที่ยว) ... ขออภัยที่ไม่ได้เติม ตนทวชก. นะครับ 

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ให้สัมภาษณ์เรื่อง "การเรียนรู้ตลอดชีวิต"

เมื่อวานนี้ (๒๔ มิ.ย. ๖๐) มีนิสิตระดับปริญญาเอกท่านหนึ่ง บอกผมทางอีเมล์ว่า ได้อ่านบันทึกเกี่ยวกับ "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" ซึ่งผมเขียนไว้ที่นี่ ผมทราบภายหลังว่าท่านกำลังทำปริญญานิพนธ์เกี่ยวกับ "องค์ประกอบและตัวบ่งชี้การเรียนรู้ตลอดชีวิตของพลเมืองไทย"  และส่งข้อคำถามเพื่อสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนกับผมเรื่องนี้  ผมยินดีมาก และอยากเอามาแบ่งปัน ให้เห็นคำถามสัมภาษณ์และคำตอบของผม และจะดียิ่งถ้าแลกเปลี่ยนกันต่อท้ายบันทึกนี้

๑) ท่านให้ความหมายของการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างไร?

ความหมายของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ควรแบ่งออกเป็น ๒ ความหมาย เพื่อให้ผู้กล่าวถึง เข้าใจเป้าหมายของการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างชัดเจนในทุกขณะที่กล่าวถึงคำว่า "เรียนรู้ตลอดชีวิต"  ได้แก่ ความหมายสำหรับการเรียนรู้ภายนอก เรียนรู้ทางโลก (โลกียะ)  และความหมายสำหรับการเรียนรู้ภายใน เรียนรู้ทางธรรม (โลกุตระ)  โดยยึดเอาตัวผู้เรียนรู้เป็นสำคัญในการนิยามทั้งสองความหมายนี้

ความหมายภายนอก 
การเรียนรู้ตลอดชีวิต หมายถึง การเรียนรู้ด้วยตนเองของมนุษย์ผู้มีอุปนิสัยใฝ่เรียนรู้ เพื่อตอบสนองความสงสัยใคร่รู้ แก้ปัญหา หรือพัฒนาสิ่งใด ๆ ให้ดีขึ้น หลังจากได้สัมผัสกับสิ่งเร้าหรือสิ่งแวดล้อมที่มากระทบประสาทสัมผัสทั้งห้าได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และรวมถึงความสงสัยใคร่รู้ที่ผุดขึ้นในใจเองด้วย การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้คิดและลงมือกระทำด้วยตนเองเท่านั้น .... เป้าหมายของการเรียนรู้นี้คือปัญญาทางโลก

ความหมายภายใน 
กาเรียนรู้ตลอดชีวิต หมายถึง การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจากภายใน ด้วยการมีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง โดยไม่ขึ้นกับกาละ เทสะ หรือปัจจัยภายนอกใด ๆ  การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนระลึกรู้สภาวะของใจที่หลงไปคิด โลภ โกรธ หรือสภาวะของกายที่รู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง เคลื่อนไหว ... เป้าหมายของการเรียนรู้นี้คือปัญญาทางธรรม ได้แก่การรู้แจ้งอริยสัจ เข้าถึงซึ่งความจริงแท้ คือ "นิพพาน"

(หมายเหตุ ความหมายนี้ นิยามบนฐานความรู้จากการฟัง สำนวนคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช)

๒) ท่่านคิดว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เหมาะสมกับสังคมไทยเป็นอย่างไร

การเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เหมาะสมกับสังคมไทย ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวัตถุ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และวัฒธรรมของคนไทย การจัดการศึกษาให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตควรเน้นให้สมดุลและครบถ้วนทั้งการเรียนรู้ภายนอกและภายใน โดยเฉพาะการน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ด้านการศึกษา และการพัฒนาตนเองเพื่อยกระดับจิตวิญญาณสู่การรู้แจ้งความจริงสูงสุดตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ

๓) ท่านคิดว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิตควรมีองค์ประกอบอะไรบ้าง 
(การเรียนเพื่อรู้ การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง การเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกัน การเรียนรู้เพื่อชีวิต การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้เพื่อความยั่งยืน)

องค์ประกอบของการเรียนรู้ตลอดชีวิต แสดงดังรูปด้านล่าง  (ผมเรียนรู้เรื่องนี้จาก อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ขอแนะนำให้นิสิตไปเรียนรู้จากท่านครับ)

ผลของการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือ "ปัญญา" อาจเป็นปัญญาทางโลกหรือปัญญาทางธรรม ก็สุดแท้แต่ผู้เรียนจะประสงค์จากพฤติกรรมการเรียนรู้นั้น ๆ เรียนเพื่อรู้ เรียนเพื่อปฏิบัติได้จริง เรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกัน เหล่านี้เป็นเป้าหมายภายนอก ส่วนการเรียนเพื่อชีวิต เรียนเพื่อการเปลี่ยนแปลง และการเรียนเพื่อความยั่งยืน เหล่านี้น่าจะเป็นเป้าหมายจากภายใน

สิ่งที่ผู้เรียนควรสนใจและให้ความสำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ตลอดชีวิตของตนเอง คือ "คุณภาพการเรียนรู้" ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ๔ ประการได้แก่ ๑) ความเชื่อ (ความเห็นที่ถูกต้อง) ๒) สติและสมาธิ ๓) ความรู้เดิมหรือประสบการณ์ และ ๔) สิ่งแวดล้อมและกัลยาณมิตร  โดยต้องประกอบด้วยปัจจัยให้สำเร็จในการเรียนรู้ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) แรงบาลดาลใจและความชอบ (ฉันทะ) ๒) ความเพียรและบ่อยซ้ำย้ำทำ (วิริยะ) ๓) ความจดจ่อและต่อเนื่อง (จิตตะ) และ ๔) การใคร่ครวญศึกษาทดลองและสะท้อนป้อนกลับ (วิมังสา)  หรือก็คือ อิทธิบาท ๔ (ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเองครับ)


(Cr.ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์)

ผมเคยให้คำอธิบายเกี่ยวกับองค์ประกอบของการเรียนรู้ตลอดชีวิตไว้ในบันทึกนี้ ดังนี้ 

องค์ประกอบที่สำคัญต่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง หรือเรียกว่า “การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง” เมื่อเรารับประสบการณ์ใหม่จากสิ่งแวดล้อมใหม่ ความเชื่อหรือศรัทธาในเรื่องต่างๆ ความเชื่อที่แตกต่างกันย่อมทำให้แต่ละบุคคลมีกระบวนทัศน์หรือวิธีคิดแตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่อท่าทีหรือเจตคติต่อเรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแตกต่างกันไป องค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความรู้และประสบการณ์เดิมที่สั่งสมในแต่ละบุคคล ความเชื่อและประสบการณ์เดิมจะส่งผลต่อการฟัง การคิด และการลงมือปฏิบัติ ทำให้ “กระบวนการเรียนรู้” ของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไปด้วย ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดว่า การเรียนรู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นหรือไม่ คือ การมีสติรู้ตัว มีปัญญาระลึกรู้ ซึ่งตามพุทธวิธีจะต้องฝึกสมาธิให้ใจตั้งมั่นและเจริญสติให้จิตจดจำสภาวะต่างๆ ให้ได้ก่อน ส่วนประสิทธิภาพของการเรียนรู้ของแต่ละคนนั้น จะแตกต่างกันไปตามทักษะหรือความสามารถในการฟัง การคิด การปฏิบัติ ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงให้เห็นจากความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตนเองและประสิทธิผลหรือความสำเร็จของการเรียนรู้จะเกิดขึ้นมากน้อยอย่างไร จะขึ้นอยู่กับปัจจัยแห่งความสำเร็จ ๔ ประการ ได้แก่ แรงบันดาลใจในการเรียนรู้ (ฉันทะ) ความเพียรพยายาม (วิริยะ) การจดจ่อต่อเนื่อง (จิตตะ) และการสะท้อนป้อนกลับที่ถูกต้องเหมาะสม (วัมังสา)..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/575366 

๔) ท่านคิดว่า ตัวบ่งชี้การเรียนรู้ตลอดชีวิตที่จะทำให้บรรลุแต่ละองค์ประกอบของการเรียนรู้ตลอดชีวิตมีอะไรบ้าง

หากยึดเอาความหมายและองค์ประกอบของการเรียนรู้ดังที่ผมตอบไปแล้ว มาตอบคำถามตามแต่ละองค์ประกอบที่นิสิตได้กำหนดไว้ สามารถตอบได้ดังนี้ 

  • เรียนเพื่อรู้  ตัวชี้วัดคือ อธิบายได้ วัดความรู้
  • เรียนเพื่อปฏิบัติได้จริง ตัวชี้วัดคือ ทำเป็นและทำได้  วัดความสามารถ ด้วยการให้ทำคือแก้ปัญหาหรือพัฒนา 
  • เรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกัน ตัวชี้วัดคือ ความสามัคคีหรือความขัดแย้ง วัดทักษะทางสังคม 
  • เรียนรู้เพื่อชีวิต ตัวชี้วัดคือ ความเข้าใจตามเป็นจริงของสรรพสิ่ง วัดปัญญาปฏิบัติ
  • เรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ตัวชี้วัดคือ ความเป็นตัวตน (ลดลง) ความเห็นแก่ตัว (น้อยลง) ความรู้จักตนเอง
  • เรียนรู้เพื่อความยั่งยืน ตัวชี้วัดคือ วัดอุปนิสัย "พอเพียง" วัดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต (ขออภัยหากนิยามไม่สอดคล้องกับวรรณกรรมที่นิสิตได้ทบทวนมา)
๕) ท่านคิดว่าในแต่ละช่วงอายุ องค์ประกอบ/ตัวบ่งชี้การเรียนรู้ตลอดชีวิตจะเหมือนกันหรือแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร

ผมคิดว่าแตกต่างกันบ้างครับ ไม่เสมอไปครับ เพราะในยุคโลกาภิวัตน์ ศตวรรษที่ ๒๑ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ หรือสรรหาครู ยูทูป หรือพบเจอผู้เป็นกัลยาณมิตร  โลกเปลี่ยนแปลงเร็วจนยากจะคาดเดา กล่าวคือสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งเร้าเปลี่ยนแปลง หลักสูตรการเรียนรู้ต่าง ๆ ใช้ไม่ได้ ผู้เรียนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  ความแตกต่างระหว่างวัยของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่พอจะจัดหมวดหมู่ได้ คงอยู่ในลักษณะของความคาดหวังของนักการศึกษาของแต่ละประเทศ 

อย่างไรก็ตาม หากนิสิตถามมา ผมก็จะตอบ ตามความเห็นของตนเอง เกี่ยวกับองค์ประกอบและตัวชี้วัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังนี้ 
  • วัยเรียน (๕-๑๕ ปี) ในวัยนี้แม้จะเน้น "เรียนเพื่อรู้" แต่สิ่งที่สำคัญมากคือการปลูกฝังคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตต่อไป องค์ประกอบของการเรียนรู้ที่ควรพัฒนาและประเมิน ได้แก่ 
    • ประเมินความรู้ที่จำเป็น และทักษะพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ ได้แก่ อ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น  ฯลฯ 
    • การทำงานของสมอง Executive Function หรือ EF ๔ ประการได้แก่ ๑) ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity) ๒) ความยืดหยุ่น (Flexibility) ๓) การควบคุมตนเอง (Self-Control) และ ๔) การมีวินัย (Discipline) (อ่านต่อที่นี่)  
    • คุณธรรมพื้นฐาน ๘ ประการ ตามคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ๘ ประการตามหลักสูตรแกนกลาง ได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ  และสำหรับเด็กไทยควรจะรักษาไว้ซึ่งความกตัญญู อันเป็นจุดเด่นของคนไทย 
    • สมรรถนะที่พีงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลาง ๕ ประการ ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะชีวิต และความสามารถด้านเทคโนโลยี 
  • วัยรุ่น (๑๕-๒๑ ปี) น่าจะมีเป้าหมายการเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง ฝึกวิชาชีพ แต่หลักสูตรวิชาชีพต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาจจะไม่เพียงพอท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงดังที่ได้กล่าวไปแล้ว อีกเป้าหมายสำคัญในช่วงวัยนี้ คือการเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกัน แต่ที่สำคัญที่สุดในวัยนี้ควรเริ่มฝึกการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแลงจากภายในอย่างจริงจัง  องค์ประกอบของการเรียนรู้ที่ควรประเมินเพิ่มเติมขึ้นคือ 
    • ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑  โดยเฉพาะทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม 
    • ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในบริบทของสังคมไทย (ผมเขียนไว้ที่นี่โดยเฉพาะทักษะ "การให้" และ "การรับ"  (ข้อนี้รวมลงตัวกันกับสมรรถนะหลักตามหลักสูตรแกนกลางแล้ว)
    • ควรประเมินว่าปฏิบัติได้จริงหรือไม่ (วัดเรื่อง ทำเป็น ทำได้ เก่งงาน หรือ Hard Skills)
    • การรู้จักตนเอง และ ความชัดเจนในชีวิต เช่น เป้าหมายชีวิต เป็นต้น 
  • วัยแรงงาน (๑๕-๕๙ปี) น่าจะมีเป้าหมายการเรียนรู้เพื่อให้ปฏิบัติได้จริง เรียนรู้เพื่อชีวิต และการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ตัวชี้วัดที่ควรประเมินเพิ่มเติม ได้แก่ 
    • ทักษะชีวิตและการประกอบอาชีพ การพึ่งตนเอง  
    • ความสำเร็จในหน้าที่การงาน
    • ปัญญาปฏิบัติ ในที่นี้หมายถึงปัญญาทางโลก เช่น องค์ความรู้ แนวปฏิบัติที่ดี ประสบการณ์ เป็นต้น
    • ความเสียสละ แบ่งปัน การอุทิศตนเพื่อส่วนรวม 
    • ปัญญาทางธรรม 
  • วัยสูงอายุ (๖๐ ปีขึ้นไป) ในวัยนี้ น่าจะเน้นที่สุด คือการสร้างเหตุแห่งปัญญาทางธรรม ต่อเนื่องจากที่ได้สั่งสมมาในวัยรุ่นและวัยแรงงาน เพื่อให้เข้าใจสรรพสิ่ง และรู้แจ้งความจริงสูงสุด  ในขณะเดียวกันก็สร้างประโยชน์ให้กับสังคมและโลก โดยถ่ายทอดประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อชนรุ่นหลัง เป็นการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป และอีกเรื่องสำคัญน่าจะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพร่างกายของตนเองให้อยู่เรียนรู้ต่อไปให้นานที่สุด ดังนั้นตัวชี้วัดที่ควรจะประเมิน ได้แก่ 
    • ปัญญาทางธรรม
    • การถ่ายทอดองค์ความรู้หรือประสบการณ์
    • การรักษาสุขภาพอย่างฉลาดและเท่าทันโรค 
๖) แต่ละตัวตัวชี้วัดควรมีรายละเอียดอย่างไร
รายละเอียด ได้ตอบไปแล้วในข้อที่ ๕)  หลักการสำคัญในการสร้างตัวชี้วัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต น่าจะมีดังนี้

  • เน้นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลง หรือตัวชี้วัดเชิงพัฒนา เพื่อตรวจสอบพัฒนาการ หรือเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา  
  • ตัวชี้วัดใด ๆ ที่ใช้เกณฑ์เป็นตัวเลขในการประเมิน ทั้งการประเมินองค์ความรู้ ทักษะ หรือเจตคติ ต้องคำนึงว่า สิ่งที่กำลังวัดคือ "อุปนิสัยใฝ่เรียนรู้" หรือ "การเรียนรู้ด้วยตนเอง" ของผู้เรียนเป็นสำคัญ  ... ระวังไม่ให้นำเอาเกณฑ์ประเมินผลการศึกษาที่กำหนดจากภายนอกไปวัดผู้เรียนทุกคน  เนื่องจาก ความต้องการรู้ ปัญหา การดำเนินชีวิต และเป้าหมายของชีวิต ของผู้คนแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน 
  • หากเครื่องมือหรือตัวชี้วัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตถูกต้องเหมาะสม  ปลายทางของปัญญาภายนอกคือ องค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญา  ส่วนปลายทางของปัญญาภายในคือความสุขที่เกิดจากความรู้แจ้งในความจริงแท้ (บรรลุธรรม) เช่น 
    • สังคมใดไม่มีภูมิปัญญาเป็นของตนเองเลย  แสดงว่า ไม่มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต(ภายนอก) 
    • สังคมใดผู้คนแก่งแย่งแข็งขัน ทะเลาะแตกแยก ยิ่งอายุมากยิ่งเห็นแก่ตัว แสดงว่า ไม่มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต(ภายใน) 
    • สังคมใดมีการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ มีปัญญาปฏิบัติ และภูมิปัญญาของตนเอง มีถ่ายทอดสู่ถัดไป  แสดงว่า เป็นสิ่งคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
    • สังคมใดผู้คนไม่ยึดมั่นในตัวตน ไม่เห็นแก่ตัว เสียสละสิ่งของนอกกาย สันโดษ สามัคคี เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต(ภายใน)
    • ฯลฯ
๗) ความคิดเห็นอื่น ๆ 

  • งานวิจัยทางการศึกษาใด ๆ ก็ตาม ที่กำลังทำกันอยู่ หากผู้วิจัยคิดว่าจำเป็นต้องอ้างอิงถึงงานวิจัยที่มีผู้รู้ทำมาก่อนเท่านั้น  มีโอกาสสูงมากที่งานวิจัยนั้น จะอยู่เพียงขั้น "ต่อยอด" หรือ "สังเคราะห์" เท่านั้น  มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็น "นวัตกรรม"  เนื่องเพราะงานวรรณกรรมที่ทบทวนมาเหล่านั้นโดยมากมักเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต(ภายนอก)ทางการศึกษาซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง ทั้งสิ่งแวดล้อมและผู้เรียน และความมีความแตกต่างกันตามภูมิสังคม
  • ปัญญาภายนอกทางการศึกษา ไม่เหมือนปัญญาภายนอกทางวิทยาศาสตร์  แก้วอยู่ที่ไหน ประเทศใด ก็ยังมีโครงผลึกเหมือนเดิม ดังนั้นการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งสากล แต่คนไม่ใช่ ...  การศึกษาไทยที่ไปยกเอาระบบและกระบวนการพัฒนามาจากต่างประเทศย่อมไม่ได้ผล ... การศึกษาควรมาจาก "ปัญญาปฏิบัติ" ของคนไทยเอง 
  • ด้วยข้อจำกัดของการเลี้ยงชีพ และความก้าวหน้าในชีวิต ใครที่ไปเรียนอะไรมา ก็จะกลับมาถ่ายทอดในสิ่งนั้น ๆ และเข้าใจว่าสิ่งนั้น ๆ ถูกต้องดีเลิศ ผลก็คือ การสืบทอดส่งต่อวิธีที่คิดว่าดีนั้นไปเป็นลูกโซ่ นานกาลเข้ากลายเป็นระบบใหญ่ที่ยากจะหมุนกลับ  ตัวอย่างเช่น  งานวิจัยเรื่องการศึกษาที่ตีพิมพ์ต่างประเทศ ได้รับการยอมรับมากกว่าตีพิมพ์เป็นภาษาไทย ทั้งๆ ที่ครูไทยไม่ได้อ่านงานวิจัยตีพิมพ์นั้นเลย  ...  ใครจะกล้าพอที่จะหยุดและหมุนกลับมาสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตของเราเอง 
  • ปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ภายใน มีข้อจำกัด ๒ ประการ  คือ  ๑) ผู้เรียนต้องปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะรู้ และ ๒) ผู้เรียนที่เกิดปัญญาภายในก็จะรู้ได้เฉพาะตนเองเท่านั้น ไม่สามารถจะส่งต่อผลแห่งการเรียนรู้นั้นไปสู่ผู้อื่นได้   ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่สมบูรณ์จึงไม่ใช่การส่งต่อหรือถ่ายทอด
ขอจบเท่านี้ครับ
ขอบคุณที่ให้โอกาสได้แลกเปลี่ยนครับ

วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลักปฏิบัติการเรียนรู้ แบบ ๑๒ส.

เมื่อวานนี้ (๒๒ มิ.ย. ๖๐) ระหว่างที่อบรมอาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาด้านการเรียนการสอน ผมผุดพบว่า กระบวนการเรียนรู้ตามนวคิด ๓PBL สามารถสงเคราะห์เป็นหลักปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ได้ ๑๒ ขั้นตอน เรียกว่า  "๑๒ส."(อ่านว่า สิบสองสอ หรือ ย่อว่า สสส. หรือก็คือ ๓ส.) เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนสำหรับพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ เชิญพิจารณาครับ



วิธีอ่าน

  • สีฟ้าแสดง "คุณสมบัติของใจ" ที่ต้องพานักเรียนฝึกฝน บ่อย ซ้ำ ประจำ ยาวนาน ให้เกิดมีแก่จิตใจ  
    • สติ  ฝึกด้วยการเจริญสติ โดยเฉพาะสัมมาสติ หรือ สติรู้กาย รู้ใจของตนเอง และใช้สตินั้นรักษาใจไม่ให้ผิดศีล ๕ ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
    • สมาธิ ฝึกด้วยการฝึกสมาธิ  หรือความตั้งมั่นของจิต (หรือลักขนูปนิฌาณ)
    • สุข เป็นผลจากการเจริญสติและสมาธิที่ถูกต้อง
    • สงบ เป็นผลจากที่ใจเกิด "สุข" จากการตื่นรู้อันเป็นผลจากการเจริญสติที่ถูกต้อง
  • สีส้มแสดง นิสัยหรืออุปนิสัยของใจในการคิด ต้องฝึกทักษะการคิด ด้วยการฝึกคิด อาจแบ่งเป็น ๒ ขั้นตอนใหญ่
    • ฝึกให้เกิดความ "สงสัย"  ด้วยการใช้กิจกรรมหรือเครื่องมือนำคิด หรือให้ "ตั้งใจคิด" ฝึกคิด ฝึกตั้งคำถาม บ่อยซ้ำย้ำประจำยาวนาน 
    • ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ "สังเคราะห์" หรือสร้างองค์ความรู้ในตนเองด้วยการคิด 
  • สีเขียว แสดงกระบวนการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง 
    • สืบค้น เมื่อสงสัย ให้เริ่มจากการสืบค้นหาคำตอบด้วยตนเอง สมัยนี้สำคัญและสะดวกค้นออนไลน์ ง่ายยิ่ง 
    • สำรวจ หมายถึง ต้องลงพื้นที่ หรือลงไปค้นหาความรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเอง เข้าถึงปัญหาหรือภูมิปัญญาที่มีอยู่จริง ๆ 
    • สัมภาษณ์  คือ การสัมภาษณ์ สนทนา กับผู้รู้ หรือแหล่งข้อมูลเบื้องแรก ให้ได้ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data)
    • สร้างสรรค์ คือ การลงมือทำสิ่งใด ๆ ให้สิ่งใหม่ ๆ หรือดี ให้เกิดขึ้น แก้ปัญหา สร้างปัญญา หรือพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น 
    • สร้างสื่อ คือ สร้างสื่อจากบทเรียนหรือประสบการณ์ตรงจากการเรียนรู้ของตนเอง ขั้นนี้รวมการสะท้อนการเรียนรู้ และถอดบทเรียน 
    • เสนอ คือ ให้ได้นำเสนอเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ปฏิบัติอื่นๆ  
นอกจาก ๑๒ส. นี้จะเป็นแนวปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด ๓PBL แล้ว ยังสามารถนำมาเป็นหลักคิดในการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ได้ครบคลุม "ปัญญา ๓ ฐาน" ได้แก่ ฐานกาย (สีเขียว) ฐานคิด(สีส้ม) และ ฐานใจ (สีฟ้า) อีกด้วย  คล้ายกับรูปแแบบ "๓ กำลัง ส." ที่ได้เสนอไว้แล้ว