PBL ย่อมาจาก Problem-based Learning แปลเป็นภาษาไทย (ที่ใช้กันทั่วไป) ว่า การเรียนรู้บนฐานปัญหา นิยามของนักการศึกษาจะว่าอย่างไร ผมคิดว่าไม่สำคัญ แต่ที่ PBL สำคัญเป็นเพราะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถทำให้เกิดทั้งความรู้ ทักษะ และที่สำคัญคือทำให้เกิด "ฉันทะ" กับผู้เรียนได้ดี
ถ้าเปรียบ PBL เหมือนต้นไม้ สมมติว่าเป็นต้น "มะม่วง" ทักษะในการปลูกคือ "ทักษะการเรียนรู้" เป้าหมายของเราชาวครูเพื่อศิษย์คือ ทำให้นักเรียนอยากปลูก"มะม่วง"และสามารถปลูก"ต้นมะม่วง"ของตนเองได้ ดอกผลของ"มะม่วง" เปรียบเป็น "ความรู้และทักษะ" ที่อยากให้เกิดกับนักเรียน เมื่อนักเรียนปลูก"มะม่วง"เป็น ครูก็ไม่จำเป็นต้องสอนอะไรต่อไปอีก พวกเขาจะปลูกและขยายผลมะม่วงให้เป็นประโยชน์ต่อไปได้เอง
การทำให้นักเรียนรักการปลูก "มะม่วง" และ "ปลูกมะม่วงเป็น" ครูต้องชัดเจนว่า ขณะนั้นๆ ตนเองกำลัง "ปลูกให้ดู" "พาปลูก" "ชวนให้ปลูก" หรือ "ชื่นชมผู้ปลูก" ดังขยายความดังนี้
- "ปลูกให้ดู" คือ นักเรียนไม่ได้ทำอะไรเลย ครูเป็นคนขุดดิน ลงปุ่ย ลงต้นกล้า เอาน้ำมารดให้เรียบร้อย หมายถึง ครูคิด ครูตั้งปัญหา ครูแก้ปัญหา ครูหาคำตอบ นักเรียนเพียงแค่รอรับ "มอบ ต้นมะม่วงนั้นไปดูแล" จนออกดอกผลตามสมควร สิ่งที่ได้อาจเป็น "แรงบันดาลใจ" อยากปลูกเองบ้าง แต่จะให้ออกผลดกขยายผลต่อนั้นไม่ได้ เพราะปลูกไม่เป็น
- "พาปลูก" คือ ครูและนักเรียนร่วมกันช่วยกันปลูก โดยครูจะเป็นคนบอกวิธีก่อน นักเรียนจะค่อยๆ เรียนรู้วิธีปลูก"มะม่วง" จากการลงมือทำที่ละขั้นตอนตามครูก่อน เมื่อปลูกเป็นบ้างแล้ว ก็ทดลองปลูกมะม่วงของตนเองต่อไป การ "พาปลูกมะม่วง" นี้ หมายถึง การ"พาปลูก PBL" โดยครูและนักเรียนได้เรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ครูต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายคือ "ฉันทะ" และ "ทักษะ" ไม่ใช่ "ชิ้นงาน"... ผมแนะนำว่าควรทำแบบ PLC ที่มาจากคำว่า Play & Learn Community หรือ PLean Community (คนละคำกับ PLC (Professional Learning Community) ซึ่งเป็นเวทีของครูและนักการศึกษา)
- "ชวนให้ปลูก" คือ ครูไม่สอนวิธีปลูกมะม่วง แต่มุ่งกระตุ้นแรงบันดาลใจให้นักเรียนอยากปลูก"มะม่วง" เอง แนะให้สืบค้นหาวิธีปลูกเอง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ครูทำหน้าที่เป็นเพียงโค๊ชหรือพี่เลี้ยง ให้นักเรียนได้ฝ่าฟันอุปสรรคของตนเองอย่างเต็มที่ เมื่อนักเรียนปลูก"ต้น PBL" เป็น หมายถึง "เรียนรู้ด้วยตนเองเป็น" เรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกที่ได้เรียน ได้ปลูก แบบนี้ เราเรียกว่า PBL ที่เกือบสมบูรณ์ .... ถึงจุดหนึ่ง เมื่อนักเรียนอยากปลูกต้นไม้ชนิดอื่นใด จุดนั้นแหละที่ผมคิดว่า "ใช่" PBL ที่สมบูรณ์
- "ชื่นชมผู้ปลูก" หากทำถูก ครูจะมีความสุข และนักเรียนจะเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้และเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ เป็น "เจ้าของสวนมะม่วง" ... ไม่สิ... "เป็นเจ้าของสวนผลไม้" ... ไม่สิ... น่าจะเป็น "เจ้าของสวน เจ้าของไร่ เจ้าของใจตนเอง" .....
สรุปความเข้าใจว่า อะไรคือ PBL
- PBL คือ "กระบวนการ" (Process) ไม่ใช่ "ผล"(Product) ดังนั้น ผลลัพธ์ของ PBL คือ "ความรู้และทักษะ" ไม่ใช่ "ผลผลิตหรือชิ้นงาน"
- "การปลูกต้น PBL" คือ เป็นวิธีการทำให้นักเรียนมีทักษะพื้นฐานเพียงพอต่อการเรียนรู้และดำรงชีวิตที่ดีได้ใน "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" เป้าหมายของครู คือ การทำให้นักเรียนเป็น "ผู้ใฝ่เรียน" "การทำให้นักเรียนมี "ฉันทะ" และปลูก"ต้นมะม่วง"เป็น คือ เรียนรู้ด้วยตนเองได้ หรือก็คือ "พึ่งตนเองด้านการศึกษา" ได้นั่นเอง
- "PBL" คือ เครื่องมือ สำหรับการเรียนรู้สำหรับทั้ง "ครูและนักเรียน" และทุกๆ คนในสังคม
- ครูที่เอาแต่ "ปลูกให้ดู" นักเรียนย่อม "ไม่รู้ลึกว่าจะปลูกอย่างไร"
- ครูที่เน้น "พาปลูก" อย่างเดียว มักจะหลงเลี้ยวออกจากเส้นทางความสำเร็จในการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ให้กับนักเรียน เพราะมักหลงติดใน "ผลผลิต" ของตนเอง
- ครูต้องทำมาให้ถึงขั้น "ชวนให้ปลูก" และ "ชื่นชมผู้ปลูก" เหมือนที่เราชื่นชมลูกของเขาเวลาเขาประสบความสำเร็จ .... มุทิตาจิตคือจิตของครู
ครูไทยทุกคนควรเข้าใจว่า PBL ของของชาวตะวันตก กับ PBL ของชาวตะวันออก นั้นแตกต่างกัน และควรภูมิใจว่า PBL แบบพุทธศาสนาของไทยนั้นก้าวไกลไปกว่า PBL ไหนๆ ทั้งมวล แต่น่าเสียดายที่คนไทยมักมองไม่เห็นสิ่งนี้ มัวแต่ "เห็นดี" กับ "ทฤษฎีตะวันตก" อยู่ร่ำไป
PBL แบบตะวันตก จะมองว่า "ปัญหา" มีไว้ให้แก้ไข ใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการสร้างองค์ความรู้จาก "การแก้ปัญหา" แล้วนำมาประยุกต์ใช้เป็นเทคโนโลยีอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ (ตัวกู) มองทุกอย่างแม้กระทั่ง "ความรู้" เป็นสิ่งมีค่าแทนได้ด้วย "เงิน" ซื้อขายสร้างความเจริญให้กับ "ตัวกู" ดังนั้น PBL แบบตะวันตก จึงมักเน้นผลผลิตที่เป็น "ชิ้นงาน" หรือ ผลลัพธ์เชิงกระบวนการ (know how) หรือ มุ่งให้เกิดการพัฒนาจากการแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ
PBL แบบตะวันออก ในที่นี้หมายถึง PBL วิถีพุทธ ที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "ปัญหา" มีไว้ศึกษาให้ "รู้" คือ "รู้ทุกข์" สาเหตุของปัญหาต้องใช้ "ปัญญา" "ละ" "เลิก" หรือ "แก้ไข" เรียกว่า "ละสมุทัย" โดยมุ่งให้ผู้ศึกษา(ผู้เรียน) เกิดปัญญาเกี่ยวกับทุกข์(ปัญหา) เข้าถึงความดับไปแห่งทุกข์คือสิ้น "ปัญหา" นั้นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจะบรรลุธรรมดังกล่าวนี้ได้ ต้องเจริญมรรค(มีองค์ ๘) เหมือนหนทางปฏิบัติและภาวนา ในการพัฒนายกระดับจิตวิญญาณของใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น