ผมครุ่นคิดเรื่องนี้ว่า "อะไรจะเปลี่ยนไปในอีก ๑๕ ปีข้างหน้า" ขณะที่กำลังเดินทางไปอัมพวาในช่วงเวลาพักผ่อนหยุดยาว ๒๒-๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ หากนับจากวันนี้ไปอีก ๑๕ ปี และระบบการศึกษายังเป็นเหมือนทุกวันนี้ไปเรื่อยๆ ลูกสาวคนโตของผมจะจบปริญญาตรีพอดี (ถ้าเขาเรียนต่อนะครับ) ...
(ขอบคุณป้าอุ๋ม (คนใส่แว่นดำ) ที่ช่วยขับรถพาไปเที่ยวอัมพวาครับ)
ผมถามตัวเองว่า อะไรบ้างที่จะเปลี่ยนไป อะไรที่ต้องเตรียมตัวไว้เป็นภูมิคุ้มกันให้พร้อม... ดังนั้นบันทึกนี้จึงเป็นเหมือนทั้ง "คำทำนาย" และการฉายภาพความเสี่ยงต่ออนาคตที่ดีของลูกๆ เป็นความคิดล้วนๆ ว่า อีก ๑๕ ปีข้างหน้า น่าจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน
๑) วิธีการรับพิจารณาคนเข้าทำงานเปลี่ยนไป
วิธีการรับคนเข้าทำงาน แบบยื่น "วุฒิการศึกษา" และ "นัดมาสัมภาษณ์" จะค่อยๆ หมดไป นั่นหมายถึง "วุฒิการศึกษา" จะไร้ความหมาย และการพิจารณาคนจากเอกสารและการสนทนาในช่วงเวลาสั้นๆ (การสัมภาษณ์) จะหมดไป ..... ผมคาดว่าต่อไปการคัดคนเข้าทำงาน จะพิจารณาจากข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย ๕ หรือ ๑๐ ปี (แน่นอนว่า คือ ผลงาน) โดยบริษัทหรือหน่วยงานจะมีข้อมูลผู้สมัครอยู่แล้ว อาจได้จากการสืบค้นข้อมูลบน Facebook, Twitter, Line, Skype, Instargram ฯลฯ หรืออาจซื้อข้อมูลจากผู้ให้บริการเหล่านี้ หรือซื้อจากบริษัทจัดหาคนงานที่ต้องปรับมาวิเคราะห์ข้อมูลของคนอย่างจริงจัง แทนที่จะทำหน้าที่เพียง "ประกาศรับ จับคู่" ดังที่ทำทุกวันนี้
นั่นหมายความว่า ผมในฐานะพ่อ ต้องฝึกทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิตและการทำงาน และที่สำคัญทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยี ให้ลูกสามารถจัดเก็บข้อมูลในระบบสารสนเทศของตนเองอย่างเป็นระบบ สั่งสมและนำเสนอผลงานอย่างต่อเนื่อง...
๒) โรงเรียนจะเปลี่ยนไป แบบที่ต้องเรียกใหม่ว่า "รวมเรียน" หรือ "ชุมชนเรียนรู้" (Learning Community: LC)
เนื่องจากวุฒิการศึกษาหรือ "ใบปริญญา" ไร้ความหมาย "ทักษะและอุปนิสัย" คือปัจจัยสำคัญในการฝึกฝนและพัฒนาลูก ดังนั้นพ่อแม่จะต้องช่วย (สร้างแรงบันดาลใจ) ให้ลูกค้นหา "ตัวเอง" ในที่นี้เบื้องต้นก็คือ ความชอบ (ฉันทะ) ความมุ่งมั่นพากเพียร(วิริยะ) ความถนัด(ศักยะ) พรสวรรค์ (อัจฉริยะ) ฯลฯ กลุ่มคนที่มี "ตัวเอง" คล้ายๆ กัน จะเริ่มพัฒนาตนเองฝึกฝนร่วมกันเป็น "ชุมชนเรียนรู้" ซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่รวมกันเป็นโรงเรียนเหมือนในปัจจับัน แต่จะไป "รวมกันเรียน" ในที่ใดที่หนึ่ง เหมือนเป็นหลักสูตรเฉพาะแบบไม่ต้องรอให้จบชั้นไหนมาก่อน ก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้เลย
....
ผม : ขวัญคะ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรลูก ?
ขวัญ : หนูอยากเป็น Iron Man ค่ะ
ผม : โอ้.. ถ้าอย่างงั้น หนูต้องอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ คิดเลขเป็น และเขียนภาษา คอมพิวเตอร์เก่งๆ นะ
ขวัญ : ค่ะ
....
ผมคิดว่าลูกสาวผมยังไม่รู้เรื่องหรอกว่าอะไรคือ "Iron Man" อะไรคือ "คิดเลขเป็น และเขียนโปรแกรมเก่ง" แม้ว่าผมจะใช้ศัทพ์คำว่า "ภาษาคอมพิวเตอร์" แล้วก็ตาม.... อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า ต่อไปจะมีหลักสูตรเรียนไปเป็น "Iron Man" ก็เป็นได้
๓) ต่อไปไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาใดๆ
แน่นอนว่า "ภาษา" คือส่วนหนึ่งของ "วัฒนธรรม" ดังที่มีความพยายามจะปรับปรุงหลักสูตรให้วิชาภาษามาอยู่กับวิชาวัฒนธรรม (กลุ่มสาระภาษาและวัฒนธรรม) แต่ต่อไปอีก ๑๕ ปี เราอาจจะมีเรียนรู้วัฒนธรรมโดยไม่ต้องจดจำภาษาพูดของคนอื่นเลย
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การประมวลผลที่รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เราก้าวไปถึงจุดที่สามารถสร้างอุปกรณ์ "แปลงภาษาพูด" แบบทันทีทันใด หรือแบบสดๆ (real time) เช่น พูดเป็นภาษาไทยแต่เสียงที่ออกไปเป็นภาษาอังกฤษ เดินไปเจอเพื่อนเขมร เปลี่ยนโหมดเป็นพูดภาษาไทย เสียงออกไปเป็นภาษาเขมร เป็นต้น
นั่นหมายถึง ครูสอนภาษาอังกฤษจะตกงาน .... อาจารย์ก้อย ภรรยาผม จะตกงานนั่นเอง...ฮา
๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔
พอแค่นี้ครับ ยิ่งคิด ยิ่งฟุ้ง ...ท้ายสุด เราก็เพียง "นักสร้างแรงบันดาลใจ" ให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ด้วยตนเองให้ได้ และบ่มเพาะอุปนิสัย "พอเพียง" ให้เขาก็เพียงพอแล้ว....


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น