ผมครุ่นคิดเรื่องนี้ว่า "อะไรจะเปลี่ยนไปในอีก ๑๕ ปีข้างหน้า" ขณะที่กำลังเดินทางไปอัมพวาในช่วงเวลาพักผ่อนหยุดยาว ๒๒-๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ หากนับจากวันนี้ไปอีก ๑๕ ปี และระบบการศึกษายังเป็นเหมือนทุกวันนี้ไปเรื่อยๆ ลูกสาวคนโตของผมจะจบปริญญาตรีพอดี (ถ้าเขาเรียนต่อนะครับ) ...
(ขอบคุณป้าอุ๋ม (คนใส่แว่นดำ) ที่ช่วยขับรถพาไปเที่ยวอัมพวาครับ)
ผมถามตัวเองว่า อะไรบ้างที่จะเปลี่ยนไป อะไรที่ต้องเตรียมตัวไว้เป็นภูมิคุ้มกันให้พร้อม... ดังนั้นบันทึกนี้จึงเป็นเหมือนทั้ง "คำทำนาย" และการฉายภาพความเสี่ยงต่ออนาคตที่ดีของลูกๆ เป็นความคิดล้วนๆ ว่า อีก ๑๕ ปีข้างหน้า น่าจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน
๑) วิธีการรับพิจารณาคนเข้าทำงานเปลี่ยนไป
วิธีการรับคนเข้าทำงาน แบบยื่น "วุฒิการศึกษา" และ "นัดมาสัมภาษณ์" จะค่อยๆ หมดไป นั่นหมายถึง "วุฒิการศึกษา" จะไร้ความหมาย และการพิจารณาคนจากเอกสารและการสนทนาในช่วงเวลาสั้นๆ (การสัมภาษณ์) จะหมดไป ..... ผมคาดว่าต่อไปการคัดคนเข้าทำงาน จะพิจารณาจากข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย ๕ หรือ ๑๐ ปี (แน่นอนว่า คือ ผลงาน) โดยบริษัทหรือหน่วยงานจะมีข้อมูลผู้สมัครอยู่แล้ว อาจได้จากการสืบค้นข้อมูลบน Facebook, Twitter, Line, Skype, Instargram ฯลฯ หรืออาจซื้อข้อมูลจากผู้ให้บริการเหล่านี้ หรือซื้อจากบริษัทจัดหาคนงานที่ต้องปรับมาวิเคราะห์ข้อมูลของคนอย่างจริงจัง แทนที่จะทำหน้าที่เพียง "ประกาศรับ จับคู่" ดังที่ทำทุกวันนี้
นั่นหมายความว่า ผมในฐานะพ่อ ต้องฝึกทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิตและการทำงาน และที่สำคัญทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยี ให้ลูกสามารถจัดเก็บข้อมูลในระบบสารสนเทศของตนเองอย่างเป็นระบบ สั่งสมและนำเสนอผลงานอย่างต่อเนื่อง...
๒) โรงเรียนจะเปลี่ยนไป แบบที่ต้องเรียกใหม่ว่า "รวมเรียน" หรือ "ชุมชนเรียนรู้" (Learning Community: LC)
เนื่องจากวุฒิการศึกษาหรือ "ใบปริญญา" ไร้ความหมาย "ทักษะและอุปนิสัย" คือปัจจัยสำคัญในการฝึกฝนและพัฒนาลูก ดังนั้นพ่อแม่จะต้องช่วย (สร้างแรงบันดาลใจ) ให้ลูกค้นหา "ตัวเอง" ในที่นี้เบื้องต้นก็คือ ความชอบ (ฉันทะ) ความมุ่งมั่นพากเพียร(วิริยะ) ความถนัด(ศักยะ) พรสวรรค์ (อัจฉริยะ) ฯลฯ กลุ่มคนที่มี "ตัวเอง" คล้ายๆ กัน จะเริ่มพัฒนาตนเองฝึกฝนร่วมกันเป็น "ชุมชนเรียนรู้" ซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่รวมกันเป็นโรงเรียนเหมือนในปัจจับัน แต่จะไป "รวมกันเรียน" ในที่ใดที่หนึ่ง เหมือนเป็นหลักสูตรเฉพาะแบบไม่ต้องรอให้จบชั้นไหนมาก่อน ก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้เลย
....
ผม : ขวัญคะ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรลูก ?
ขวัญ : หนูอยากเป็น Iron Man ค่ะ
ผม : โอ้.. ถ้าอย่างงั้น หนูต้องอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ คิดเลขเป็น และเขียนภาษา คอมพิวเตอร์เก่งๆ นะ
ขวัญ : ค่ะ
....
ผมคิดว่าลูกสาวผมยังไม่รู้เรื่องหรอกว่าอะไรคือ "Iron Man" อะไรคือ "คิดเลขเป็น และเขียนโปรแกรมเก่ง" แม้ว่าผมจะใช้ศัทพ์คำว่า "ภาษาคอมพิวเตอร์" แล้วก็ตาม.... อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า ต่อไปจะมีหลักสูตรเรียนไปเป็น "Iron Man" ก็เป็นได้
๓) ต่อไปไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาใดๆ
แน่นอนว่า "ภาษา" คือส่วนหนึ่งของ "วัฒนธรรม" ดังที่มีความพยายามจะปรับปรุงหลักสูตรให้วิชาภาษามาอยู่กับวิชาวัฒนธรรม (กลุ่มสาระภาษาและวัฒนธรรม) แต่ต่อไปอีก ๑๕ ปี เราอาจจะมีเรียนรู้วัฒนธรรมโดยไม่ต้องจดจำภาษาพูดของคนอื่นเลย
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การประมวลผลที่รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เราก้าวไปถึงจุดที่สามารถสร้างอุปกรณ์ "แปลงภาษาพูด" แบบทันทีทันใด หรือแบบสดๆ (real time) เช่น พูดเป็นภาษาไทยแต่เสียงที่ออกไปเป็นภาษาอังกฤษ เดินไปเจอเพื่อนเขมร เปลี่ยนโหมดเป็นพูดภาษาไทย เสียงออกไปเป็นภาษาเขมร เป็นต้น
นั่นหมายถึง ครูสอนภาษาอังกฤษจะตกงาน .... อาจารย์ก้อย ภรรยาผม จะตกงานนั่นเอง...ฮา
๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔๔
พอแค่นี้ครับ ยิ่งคิด ยิ่งฟุ้ง ...ท้ายสุด เราก็เพียง "นักสร้างแรงบันดาลใจ" ให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ด้วยตนเองให้ได้ และบ่มเพาะอุปนิสัย "พอเพียง" ให้เขาก็เพียงพอแล้ว....
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วิธีอธิบายว่า "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" คืออะไร
กว่า ๑ ปี ที่ผมเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ "ภาคสนาม" ตามโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่อีสานตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดมหาสารคาม เพื่อขับเคลื่อน "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" (ปศพพ. ด้านการศึกษา) สู่สถานศึกษา วันนี้ ผมคิดว่า ผมมี "วิธีอธิบายที่ดีที่สุด" ในการอธิบายว่า ปศพพ.ด้านการศึกษา คืออะไร จึงอยากบันทึกแลกเปลี่ยนไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป...
ขั้นเตรียม
กลุ่มเป้าหมายจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลัก ปศพพ. มาก่อน โดยเฉพาะ "๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิต" และ "เกษตรทฤษฎีใหม่" ซึ่งความจริงโดยทั่วไป ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ปศพพ. จะต้องเป็นด้านการเกษตร แท้จริงแล้วสามารถนำไปใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต เพราะ ปศพพ. เป็น "หลักคิด"
แนะนำให้ใช้วิธีการ "ตั้งคำถาม" และ "พูดคุย" หรือ "ให้เล่าประสบการณ์" เพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ หรือปัญหาข้อสงสัยในใจของกลุ่มเป้าหมาย
ขั้นนำ
เริ่มที่ทำความเข้าใจความหมายและความแตกต่างระหว่างคำว่า "ศรัทธา" "ปรัชญา" และ "ปัญญา" เชื่อมโยงกับคำง่ายๆ ที่ทุกคนรู้จัก คือ "ศรัทธา=>เชื่อ ปรัชญา=>คิด และ ปัญญา => รู้" ทั้ง ๓ คำคือ "เชื่อ" "คิด" และ "รู้" เป็น "กิริยา" หรือเป็นการกระทำของ "ใจ" ลึกซึ้งกว่าความเข้าใจตามทฤษฎีตะวันตกที่ผูก "คิด" ไว้กับ "สมอง"
แล้วสรุปในเบื้องต้นว่า
คำว่า "ปรัชญา" จึงเกี่ยวกับ "คิด" นักปรัชญาก็คือนักคิด ดังนั้น "หลักปรัชญา" ก็คือ "หลักคิด"
ขั้นสอน
ให้อธิบายว่า ....
เมื่อนำ "หลักคิด" ไปใช้ หมายถึง ก่อนจะทำอะไรก็ให้คิดก่อน คิดโดยใช้ "หลักคิด" นี้ก่อน ขั้นตอนและวิธีการทำของผู้นำ "หลักคิด" ไปใช้ อาจเรียกได้ว่า "แนวปฏิบัติ" และเมื่อผู้ทำนำไป "ปฏิบัติ" อย่างต่อเนื่องโดยใช้ "ปศพพ." จะเกิด "อุปนิสัยพอเพียง" กับตนเอง เกิดการพัฒนา และ "ตกผลึก" ด้วยตนเองได้ "แนวปฏิบัติที่ดี" (หรือฝรั่งเรียกว่า BP) กลายมาเป็น "ทฤษฎีเชิงปฏิบัติ" หรือเราเรียกได้ว่าเป็น "หลักปฏิบัติ"
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ในหลวงท่านทรงทดลองใช้ "หลักคิด" กับการเกษตร ผลก็คือ "เกษตรทฤษฎีใหม่" ถือเป็นหลักปฏิบัติที่พระราชทานให้เราชาวเกษตรกร
เมื่ออธิบายถึงตรงนี้แล้ว ให้ตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นให้คิดเทียบเคียง ตัวอย่างนี้ กับการนำ "หลักคิด" คือ "ปศพพ." มาใช้กับการศึกษาในการพัฒนาผู้เรียน ตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง เช่น
ขั้นสรุป
"หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" คือการนำ "หลักคิดแบบ ๓ ห่วง ๒ เงื่อน ๔ มิติ" มาใช้ในการพัฒนาการศึกษา ทั้งการเรียนรู้ด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนการสอนในชั้นเรียน และการเรียนรู้ร่วมกันผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนเกิด "อุปนิสัยพอเพียง"... นั่นเอง
ขั้นเตรียม
กลุ่มเป้าหมายจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลัก ปศพพ. มาก่อน โดยเฉพาะ "๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิต" และ "เกษตรทฤษฎีใหม่" ซึ่งความจริงโดยทั่วไป ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ปศพพ. จะต้องเป็นด้านการเกษตร แท้จริงแล้วสามารถนำไปใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต เพราะ ปศพพ. เป็น "หลักคิด"
แนะนำให้ใช้วิธีการ "ตั้งคำถาม" และ "พูดคุย" หรือ "ให้เล่าประสบการณ์" เพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ หรือปัญหาข้อสงสัยในใจของกลุ่มเป้าหมาย
ขั้นนำ
เริ่มที่ทำความเข้าใจความหมายและความแตกต่างระหว่างคำว่า "ศรัทธา" "ปรัชญา" และ "ปัญญา" เชื่อมโยงกับคำง่ายๆ ที่ทุกคนรู้จัก คือ "ศรัทธา=>เชื่อ ปรัชญา=>คิด และ ปัญญา => รู้" ทั้ง ๓ คำคือ "เชื่อ" "คิด" และ "รู้" เป็น "กิริยา" หรือเป็นการกระทำของ "ใจ" ลึกซึ้งกว่าความเข้าใจตามทฤษฎีตะวันตกที่ผูก "คิด" ไว้กับ "สมอง"
แล้วสรุปในเบื้องต้นว่า
คำว่า "ปรัชญา" จึงเกี่ยวกับ "คิด" นักปรัชญาก็คือนักคิด ดังนั้น "หลักปรัชญา" ก็คือ "หลักคิด"
ขั้นสอน
ให้อธิบายว่า ....
เมื่อนำ "หลักคิด" ไปใช้ หมายถึง ก่อนจะทำอะไรก็ให้คิดก่อน คิดโดยใช้ "หลักคิด" นี้ก่อน ขั้นตอนและวิธีการทำของผู้นำ "หลักคิด" ไปใช้ อาจเรียกได้ว่า "แนวปฏิบัติ" และเมื่อผู้ทำนำไป "ปฏิบัติ" อย่างต่อเนื่องโดยใช้ "ปศพพ." จะเกิด "อุปนิสัยพอเพียง" กับตนเอง เกิดการพัฒนา และ "ตกผลึก" ด้วยตนเองได้ "แนวปฏิบัติที่ดี" (หรือฝรั่งเรียกว่า BP) กลายมาเป็น "ทฤษฎีเชิงปฏิบัติ" หรือเราเรียกได้ว่าเป็น "หลักปฏิบัติ"
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ในหลวงท่านทรงทดลองใช้ "หลักคิด" กับการเกษตร ผลก็คือ "เกษตรทฤษฎีใหม่" ถือเป็นหลักปฏิบัติที่พระราชทานให้เราชาวเกษตรกร
เมื่ออธิบายถึงตรงนี้แล้ว ให้ตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นให้คิดเทียบเคียง ตัวอย่างนี้ กับการนำ "หลักคิด" คือ "ปศพพ." มาใช้กับการศึกษาในการพัฒนาผู้เรียน ตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง เช่น
- ถ้านำ "หลักคิด" นี้ มาใช้กับ "การสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ในชั้นเรียนของตนเอง" "หลักปฏิบัติ" จะเป็นอย่างไร?
- ถ้านำ "หลักคิด" นี้ มาใช้กับ "การสอนเรื่อง ............ " จะได้ "แนวปฏิบัติ"อย่างไร?
- แนวปฏิบัติที่ดีของเราในการสอนของเรา ใช้หลักคิดแบบ "ปศพพ." เมื่อไหร่ตอนไหน อย่างไร?
- กิจวัตรประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนเข้านอนอีกครั้ง ตอนไหนบ้างที่ใช้ "หลักคิด" อย่างไร?
- "หลักปฏิบัติ" ในการแปรงฟัน ดื่มน้ำ ของท่าน เป็นอย่างร?
- ฯลฯ
ขั้นสรุป
"หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" คือการนำ "หลักคิดแบบ ๓ ห่วง ๒ เงื่อน ๔ มิติ" มาใช้ในการพัฒนาการศึกษา ทั้งการเรียนรู้ด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนการสอนในชั้นเรียน และการเรียนรู้ร่วมกันผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนเกิด "อุปนิสัยพอเพียง"... นั่นเอง
วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557
ต้น PBL (๒)
ผมเคยเขียนเปรียบเทียบการจัดการเรียนการสอนบนฐานปัญหา/โครงงาน หรือ PBL กับต้นมะม่วง โดยใช้ชื่อบันทึกว่า "ต้น PBL" ปรากฎว่าวันถัดมา ครูตุ๋มบอกผมว่า ท่าน ศน.สุรางค์ อยากจะเผยแพร่ต่อให้ครูภาษาไทยได้อ่าน .... เท่านี้ก็มีกำลังใจมากโขแล้วครับ
หลังจากเวที PLC มหาสารคาม ครั้งที่ ๒ ประจำปี ๒๕๕๗ ในวันที่ ๒๑-๒๒ เมษายน ที่ผ่านมา เราคุยกันเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบ PBL ที่มี "รูปแบบ" "ไร้รูปแบบ" จนถึงขั้น "ริเริ่มรูปแบบ" ผมจึงได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนทำความเข้าใจ "ต้น PBL" ปรากฎว่าได้ผลดี จึงอยากแบ่งปันกับท่าน เพื่อบูชาครูเพื่อศิษย์ครับ
หากเปรียบ PBL เหมือนต้นมะม่วง หน้าที่ของครูคือทำให้นักเรียน "ปลูกมะม่วงเป็น" แน่นอนว่า ครูต้อง "ปลูกเป็น" แต่ไม่จำเป็นจะต้องถึงขั้นชำนาญ เพราะในการปลูกมะม่วง หากเป็นคนใฝ่รู้ และน้อมนำหลัก ปศพพ.ด้านการศึกษา มาเป็นหลักคิด หลักปฏิบัติ ครูจะสนุกกับการเรียนรู้ไปพร้อมๆ นักเรียน และเป็นผู้ชำนาญการ การปลูกต้น PBL แน่นอน
เมื่อเป้าหมายของครูคือให้นักเรียน "ปลูกมะม่วงเป็น" ครูต้องไม่มองความสำเร็จของตนเพียงแค่ "มีต้นมะม่วง" หรือนักเรียน "ปลูกมะม่วงได้" ความสำเร็จของครูต้องดูจาก "ผลมะม่วง" ซึ่งเปรียบเป็น "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" ที่เกิดกับนักเรียน นั่นคือ "นักเรียนปลูกมะม่วงเป็น" เพราะปลูกเป็นจึงเห็นผล ผลมะม่วงหรือทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในที่นี้ก็คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Outcome) นั่นเอง
ดังที่เขียนไว้ในบันทึกที่แล้ว ว่า
๑) สร้างแรงบันดาลใจ
๒) พาปลูก
๓) ให้ปลูกเอง
ขั้นสร้างแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายคือทำให้เขา "อยากปลูก" คือทำให้เกิด "ฉันทะ" ซึ่งในทางปฏิบัติอาจทำโดยการโน้มนาม ชี้ให้เห็นความสำคัญ ทำให้เข้าใจถึงประโยชน์ หลักการที่สำคัญคือ ต้องทำให้ได้ "ฝึกคิด" เรียนรู้ทฤษฎีและทักษะที่จำเป็น เช่น การสืบค้น การวิเคราะห์ การอ่านจับใจความ วิธีปลูก เครื่องมือปลูก เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นคุณค่าในเบื้องต้น
ขั้น "พาปลูก" คือเป็นการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ (Active Learning) มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกทักษะย่อยๆ แต่ละอย่าง เช่น การเพาะเมล็ด การเตรียมดิน ฯลฯ แล้ว ฝึกนำทักษะย่อยๆ เหล่านั้นมาบูรณาการใช้เพื่อฝึกปลูกมะม่วง โดยครูอาจพาทำทีละขั้นตอน ผลที่ได้คือ นักเรียนมีต้นมะม่วงของตนเอง ที่ปลูกด้วยตนเอง (แม้จะทำตามครู) หน้าที่ต่อไปคือดูแลให้ออกดอกออกผล หมายถึงฝึกฝนให้ชำนาญ นั่นเอง
ขั้น ให้ปลูกเองครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ คิดเอง ทำเอง แก้ปัญหาเอง คือปล่อยให้มีโอกาสได้ทำทุกอย่างด้วยตนเอง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง บทบาทของครูคือ ชง ชวน เชียร์ ชม หรือช่วยในบางโอกาส
ภาพความสำเร็จจริงๆ ของการเรียนรู้แบบ PBL คือ ควมชอบ ความสนุกในการเรียน เมื่อใช้หลัก ปศพพ. ด้านการศึกษา จะทำให้ได้ "ปัญหาที่มีคุณค่า" ซึ่งจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจที่ได้ทำความดี และสิ่งนี้จะทำให้นักเรียนเป็นผู้มี "ความสุข" กับการเรียนในที่สุด
หลังจากเวที PLC มหาสารคาม ครั้งที่ ๒ ประจำปี ๒๕๕๗ ในวันที่ ๒๑-๒๒ เมษายน ที่ผ่านมา เราคุยกันเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบ PBL ที่มี "รูปแบบ" "ไร้รูปแบบ" จนถึงขั้น "ริเริ่มรูปแบบ" ผมจึงได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนทำความเข้าใจ "ต้น PBL" ปรากฎว่าได้ผลดี จึงอยากแบ่งปันกับท่าน เพื่อบูชาครูเพื่อศิษย์ครับ
หากเปรียบ PBL เหมือนต้นมะม่วง หน้าที่ของครูคือทำให้นักเรียน "ปลูกมะม่วงเป็น" แน่นอนว่า ครูต้อง "ปลูกเป็น" แต่ไม่จำเป็นจะต้องถึงขั้นชำนาญ เพราะในการปลูกมะม่วง หากเป็นคนใฝ่รู้ และน้อมนำหลัก ปศพพ.ด้านการศึกษา มาเป็นหลักคิด หลักปฏิบัติ ครูจะสนุกกับการเรียนรู้ไปพร้อมๆ นักเรียน และเป็นผู้ชำนาญการ การปลูกต้น PBL แน่นอน
เมื่อเป้าหมายของครูคือให้นักเรียน "ปลูกมะม่วงเป็น" ครูต้องไม่มองความสำเร็จของตนเพียงแค่ "มีต้นมะม่วง" หรือนักเรียน "ปลูกมะม่วงได้" ความสำเร็จของครูต้องดูจาก "ผลมะม่วง" ซึ่งเปรียบเป็น "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" ที่เกิดกับนักเรียน นั่นคือ "นักเรียนปลูกมะม่วงเป็น" เพราะปลูกเป็นจึงเห็นผล ผลมะม่วงหรือทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในที่นี้ก็คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Outcome) นั่นเอง
ดังที่เขียนไว้ในบันทึกที่แล้ว ว่า
- PBL คือ "กระบวนการ" (Process) ไม่ใช่ "ผล"(Product) ดังนั้น ผลลัพธ์ของ PBL คือ "ความรู้และทักษะ" ไม่ใช่ "ผลผลิตหรือชิ้นงาน"
- "การปลูกต้น PBL" เป็นวิธีการทำให้นักเรียนมีทักษะพื้นฐานเพียงพอต่อการเรียนรู้และดำรงชีวิตที่ดีได้ใน "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" เป้าหมายของครู คือ การทำให้นักเรียนเป็น "ผู้ใฝ่เรียน" "การทำให้นักเรียนมี "ฉันทะ" และปลูก"ต้นมะม่วง"เป็น คือ เรียนรู้ด้วยตนเองได้ หรือก็คือ "พึ่งตนเองด้านการศึกษา" ได้นั่นเอง
- "PBL" คือ เครื่องมือ สำหรับการเรียนรู้สำหรับทั้ง "ครูและนักเรียน" และทุกๆ คนในสังคม
- ครูที่เอาแต่ "ปลูกให้ดู" นักเรียนย่อม "ไม่รู้ลึกว่าจะปลูกอย่างไร"
- ครูที่เน้น "พาปลูก" อย่างเดียว มักจะหลงเลี้ยวออกจากเส้นทางความสำเร็จในการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ให้กับนักเรียน เพราะมักหลงติดใน "ผลผลิต" ของตนเอง
- ครูต้องทำมาให้ถึงขั้น "ชวนให้ปลูก" และ "ชื่นชมผู้ปลูก" เหมือนที่เราชื่นชมลูกของเขาเวลาเขาประสบความสำเร็จ .... มุทิตาจิตคือจิตของครู
๑) สร้างแรงบันดาลใจ
๒) พาปลูก
๓) ให้ปลูกเอง
ขั้นสร้างแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายคือทำให้เขา "อยากปลูก" คือทำให้เกิด "ฉันทะ" ซึ่งในทางปฏิบัติอาจทำโดยการโน้มนาม ชี้ให้เห็นความสำคัญ ทำให้เข้าใจถึงประโยชน์ หลักการที่สำคัญคือ ต้องทำให้ได้ "ฝึกคิด" เรียนรู้ทฤษฎีและทักษะที่จำเป็น เช่น การสืบค้น การวิเคราะห์ การอ่านจับใจความ วิธีปลูก เครื่องมือปลูก เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นคุณค่าในเบื้องต้น
ขั้น "พาปลูก" คือเป็นการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ (Active Learning) มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกทักษะย่อยๆ แต่ละอย่าง เช่น การเพาะเมล็ด การเตรียมดิน ฯลฯ แล้ว ฝึกนำทักษะย่อยๆ เหล่านั้นมาบูรณาการใช้เพื่อฝึกปลูกมะม่วง โดยครูอาจพาทำทีละขั้นตอน ผลที่ได้คือ นักเรียนมีต้นมะม่วงของตนเอง ที่ปลูกด้วยตนเอง (แม้จะทำตามครู) หน้าที่ต่อไปคือดูแลให้ออกดอกออกผล หมายถึงฝึกฝนให้ชำนาญ นั่นเอง
ขั้น ให้ปลูกเองครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ คิดเอง ทำเอง แก้ปัญหาเอง คือปล่อยให้มีโอกาสได้ทำทุกอย่างด้วยตนเอง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง บทบาทของครูคือ ชง ชวน เชียร์ ชม หรือช่วยในบางโอกาส
- ชง คือ สร้างบรรยกาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้แบบรู้จริง เช่น การกระตุ้นด้วยคำถาม หรือสร้างกิจกรรมหรือเวทีนำเสนอผลงาน ฯลฯ
- ชวน คือ แนะนำ หรือชวนให้ทำแบบอื่นๆ ที่นักเรียนอาจคิดคาดไม่ถึง เช่น อาจเล่าเรื่องความสำเร็จของผู้ประสบผลสำเร็จในชีวิตให้ฟัง ฯลฯ
- เชียร์ คือ เอาใจใส่ คอยซักถามความก้าวหน้า หาเวลามาอยู่กับนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
- ชม คือ หัวใจสำคัญของความสุข ต้องชมอย่างจริงใจ หาจุดที่นักเรียนทำได้ดี ชื่นชมและกระตุ้นให้ขยายความสำเร็จนั้นๆ ออกไปอีก
- ช่วย ในบางโอกาสครูอาจจำเป็นต้องช่วย เมื่อพิจาณาเห็นว่าเกิดกำลังความสามารถสติปัญญาของนักเรียน หรือแม่แต่ ปรามไม่ให้เกินเลยไปสำหรับอันใดที่จะทำให้พวกเขาเองและคนอื่นๆ เดือนร้อน
ภาพความสำเร็จจริงๆ ของการเรียนรู้แบบ PBL คือ ควมชอบ ความสนุกในการเรียน เมื่อใช้หลัก ปศพพ. ด้านการศึกษา จะทำให้ได้ "ปัญหาที่มีคุณค่า" ซึ่งจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจที่ได้ทำความดี และสิ่งนี้จะทำให้นักเรียนเป็นผู้มี "ความสุข" กับการเรียนในที่สุด
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557
ต้น PBL
ผมได้รับแรงบันดาลใจให้เขียนบันทึกนี้จาก ครูสอนดี ครูเพื่อศิษย์ท่านหนึ่ง ท่านส่งบทความเรื่อง PBL มาให้ผมอ่านทาง FB แล้วถามผมว่า "ถูกหรือไม่" ... ผมเขียนบันทึกตอบท่านไปว่า "ไม่มีผิด ไม่มีถูก" และสะท้อนวิธีการของท่านว่า เป็นเหมือนการ "ปลูกต้น PBL" ให้กับเด็กๆ .... ดังจะขยายความต่อไปนี้ครับ
PBL ย่อมาจาก Problem-based Learning แปลเป็นภาษาไทย (ที่ใช้กันทั่วไป) ว่า การเรียนรู้บนฐานปัญหา นิยามของนักการศึกษาจะว่าอย่างไร ผมคิดว่าไม่สำคัญ แต่ที่ PBL สำคัญเป็นเพราะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถทำให้เกิดทั้งความรู้ ทักษะ และที่สำคัญคือทำให้เกิด "ฉันทะ" กับผู้เรียนได้ดี
ถ้าเปรียบ PBL เหมือนต้นไม้ สมมติว่าเป็นต้น "มะม่วง" ทักษะในการปลูกคือ "ทักษะการเรียนรู้" เป้าหมายของเราชาวครูเพื่อศิษย์คือ ทำให้นักเรียนอยากปลูก"มะม่วง"และสามารถปลูก"ต้นมะม่วง"ของตนเองได้ ดอกผลของ"มะม่วง" เปรียบเป็น "ความรู้และทักษะ" ที่อยากให้เกิดกับนักเรียน เมื่อนักเรียนปลูก"มะม่วง"เป็น ครูก็ไม่จำเป็นต้องสอนอะไรต่อไปอีก พวกเขาจะปลูกและขยายผลมะม่วงให้เป็นประโยชน์ต่อไปได้เอง
การทำให้นักเรียนรักการปลูก "มะม่วง" และ "ปลูกมะม่วงเป็น" ครูต้องชัดเจนว่า ขณะนั้นๆ ตนเองกำลัง "ปลูกให้ดู" "พาปลูก" "ชวนให้ปลูก" หรือ "ชื่นชมผู้ปลูก" ดังขยายความดังนี้
สรุปความเข้าใจว่า อะไรคือ PBL
ครูไทยทุกคนควรเข้าใจว่า PBL ของของชาวตะวันตก กับ PBL ของชาวตะวันออก นั้นแตกต่างกัน และควรภูมิใจว่า PBL แบบพุทธศาสนาของไทยนั้นก้าวไกลไปกว่า PBL ไหนๆ ทั้งมวล แต่น่าเสียดายที่คนไทยมักมองไม่เห็นสิ่งนี้ มัวแต่ "เห็นดี" กับ "ทฤษฎีตะวันตก" อยู่ร่ำไป
PBL แบบตะวันตก จะมองว่า "ปัญหา" มีไว้ให้แก้ไข ใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการสร้างองค์ความรู้จาก "การแก้ปัญหา" แล้วนำมาประยุกต์ใช้เป็นเทคโนโลยีอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ (ตัวกู) มองทุกอย่างแม้กระทั่ง "ความรู้" เป็นสิ่งมีค่าแทนได้ด้วย "เงิน" ซื้อขายสร้างความเจริญให้กับ "ตัวกู" ดังนั้น PBL แบบตะวันตก จึงมักเน้นผลผลิตที่เป็น "ชิ้นงาน" หรือ ผลลัพธ์เชิงกระบวนการ (know how) หรือ มุ่งให้เกิดการพัฒนาจากการแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ
PBL แบบตะวันออก ในที่นี้หมายถึง PBL วิถีพุทธ ที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "ปัญหา" มีไว้ศึกษาให้ "รู้" คือ "รู้ทุกข์" สาเหตุของปัญหาต้องใช้ "ปัญญา" "ละ" "เลิก" หรือ "แก้ไข" เรียกว่า "ละสมุทัย" โดยมุ่งให้ผู้ศึกษา(ผู้เรียน) เกิดปัญญาเกี่ยวกับทุกข์(ปัญหา) เข้าถึงความดับไปแห่งทุกข์คือสิ้น "ปัญหา" นั้นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจะบรรลุธรรมดังกล่าวนี้ได้ ต้องเจริญมรรค(มีองค์ ๘) เหมือนหนทางปฏิบัติและภาวนา ในการพัฒนายกระดับจิตวิญญาณของใจ
PBL ย่อมาจาก Problem-based Learning แปลเป็นภาษาไทย (ที่ใช้กันทั่วไป) ว่า การเรียนรู้บนฐานปัญหา นิยามของนักการศึกษาจะว่าอย่างไร ผมคิดว่าไม่สำคัญ แต่ที่ PBL สำคัญเป็นเพราะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถทำให้เกิดทั้งความรู้ ทักษะ และที่สำคัญคือทำให้เกิด "ฉันทะ" กับผู้เรียนได้ดี
ถ้าเปรียบ PBL เหมือนต้นไม้ สมมติว่าเป็นต้น "มะม่วง" ทักษะในการปลูกคือ "ทักษะการเรียนรู้" เป้าหมายของเราชาวครูเพื่อศิษย์คือ ทำให้นักเรียนอยากปลูก"มะม่วง"และสามารถปลูก"ต้นมะม่วง"ของตนเองได้ ดอกผลของ"มะม่วง" เปรียบเป็น "ความรู้และทักษะ" ที่อยากให้เกิดกับนักเรียน เมื่อนักเรียนปลูก"มะม่วง"เป็น ครูก็ไม่จำเป็นต้องสอนอะไรต่อไปอีก พวกเขาจะปลูกและขยายผลมะม่วงให้เป็นประโยชน์ต่อไปได้เอง
การทำให้นักเรียนรักการปลูก "มะม่วง" และ "ปลูกมะม่วงเป็น" ครูต้องชัดเจนว่า ขณะนั้นๆ ตนเองกำลัง "ปลูกให้ดู" "พาปลูก" "ชวนให้ปลูก" หรือ "ชื่นชมผู้ปลูก" ดังขยายความดังนี้
- "ปลูกให้ดู" คือ นักเรียนไม่ได้ทำอะไรเลย ครูเป็นคนขุดดิน ลงปุ่ย ลงต้นกล้า เอาน้ำมารดให้เรียบร้อย หมายถึง ครูคิด ครูตั้งปัญหา ครูแก้ปัญหา ครูหาคำตอบ นักเรียนเพียงแค่รอรับ "มอบ ต้นมะม่วงนั้นไปดูแล" จนออกดอกผลตามสมควร สิ่งที่ได้อาจเป็น "แรงบันดาลใจ" อยากปลูกเองบ้าง แต่จะให้ออกผลดกขยายผลต่อนั้นไม่ได้ เพราะปลูกไม่เป็น
- "พาปลูก" คือ ครูและนักเรียนร่วมกันช่วยกันปลูก โดยครูจะเป็นคนบอกวิธีก่อน นักเรียนจะค่อยๆ เรียนรู้วิธีปลูก"มะม่วง" จากการลงมือทำที่ละขั้นตอนตามครูก่อน เมื่อปลูกเป็นบ้างแล้ว ก็ทดลองปลูกมะม่วงของตนเองต่อไป การ "พาปลูกมะม่วง" นี้ หมายถึง การ"พาปลูก PBL" โดยครูและนักเรียนได้เรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ครูต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายคือ "ฉันทะ" และ "ทักษะ" ไม่ใช่ "ชิ้นงาน"... ผมแนะนำว่าควรทำแบบ PLC ที่มาจากคำว่า Play & Learn Community หรือ PLean Community (คนละคำกับ PLC (Professional Learning Community) ซึ่งเป็นเวทีของครูและนักการศึกษา)
- "ชวนให้ปลูก" คือ ครูไม่สอนวิธีปลูกมะม่วง แต่มุ่งกระตุ้นแรงบันดาลใจให้นักเรียนอยากปลูก"มะม่วง" เอง แนะให้สืบค้นหาวิธีปลูกเอง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ครูทำหน้าที่เป็นเพียงโค๊ชหรือพี่เลี้ยง ให้นักเรียนได้ฝ่าฟันอุปสรรคของตนเองอย่างเต็มที่ เมื่อนักเรียนปลูก"ต้น PBL" เป็น หมายถึง "เรียนรู้ด้วยตนเองเป็น" เรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกที่ได้เรียน ได้ปลูก แบบนี้ เราเรียกว่า PBL ที่เกือบสมบูรณ์ .... ถึงจุดหนึ่ง เมื่อนักเรียนอยากปลูกต้นไม้ชนิดอื่นใด จุดนั้นแหละที่ผมคิดว่า "ใช่" PBL ที่สมบูรณ์
- "ชื่นชมผู้ปลูก" หากทำถูก ครูจะมีความสุข และนักเรียนจะเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้และเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ เป็น "เจ้าของสวนมะม่วง" ... ไม่สิ... "เป็นเจ้าของสวนผลไม้" ... ไม่สิ... น่าจะเป็น "เจ้าของสวน เจ้าของไร่ เจ้าของใจตนเอง" .....
สรุปความเข้าใจว่า อะไรคือ PBL
- PBL คือ "กระบวนการ" (Process) ไม่ใช่ "ผล"(Product) ดังนั้น ผลลัพธ์ของ PBL คือ "ความรู้และทักษะ" ไม่ใช่ "ผลผลิตหรือชิ้นงาน"
- "การปลูกต้น PBL" คือ เป็นวิธีการทำให้นักเรียนมีทักษะพื้นฐานเพียงพอต่อการเรียนรู้และดำรงชีวิตที่ดีได้ใน "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑" เป้าหมายของครู คือ การทำให้นักเรียนเป็น "ผู้ใฝ่เรียน" "การทำให้นักเรียนมี "ฉันทะ" และปลูก"ต้นมะม่วง"เป็น คือ เรียนรู้ด้วยตนเองได้ หรือก็คือ "พึ่งตนเองด้านการศึกษา" ได้นั่นเอง
- "PBL" คือ เครื่องมือ สำหรับการเรียนรู้สำหรับทั้ง "ครูและนักเรียน" และทุกๆ คนในสังคม
- ครูที่เอาแต่ "ปลูกให้ดู" นักเรียนย่อม "ไม่รู้ลึกว่าจะปลูกอย่างไร"
- ครูที่เน้น "พาปลูก" อย่างเดียว มักจะหลงเลี้ยวออกจากเส้นทางความสำเร็จในการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ให้กับนักเรียน เพราะมักหลงติดใน "ผลผลิต" ของตนเอง
- ครูต้องทำมาให้ถึงขั้น "ชวนให้ปลูก" และ "ชื่นชมผู้ปลูก" เหมือนที่เราชื่นชมลูกของเขาเวลาเขาประสบความสำเร็จ .... มุทิตาจิตคือจิตของครู
ครูไทยทุกคนควรเข้าใจว่า PBL ของของชาวตะวันตก กับ PBL ของชาวตะวันออก นั้นแตกต่างกัน และควรภูมิใจว่า PBL แบบพุทธศาสนาของไทยนั้นก้าวไกลไปกว่า PBL ไหนๆ ทั้งมวล แต่น่าเสียดายที่คนไทยมักมองไม่เห็นสิ่งนี้ มัวแต่ "เห็นดี" กับ "ทฤษฎีตะวันตก" อยู่ร่ำไป
PBL แบบตะวันตก จะมองว่า "ปัญหา" มีไว้ให้แก้ไข ใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการสร้างองค์ความรู้จาก "การแก้ปัญหา" แล้วนำมาประยุกต์ใช้เป็นเทคโนโลยีอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ (ตัวกู) มองทุกอย่างแม้กระทั่ง "ความรู้" เป็นสิ่งมีค่าแทนได้ด้วย "เงิน" ซื้อขายสร้างความเจริญให้กับ "ตัวกู" ดังนั้น PBL แบบตะวันตก จึงมักเน้นผลผลิตที่เป็น "ชิ้นงาน" หรือ ผลลัพธ์เชิงกระบวนการ (know how) หรือ มุ่งให้เกิดการพัฒนาจากการแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ
PBL แบบตะวันออก ในที่นี้หมายถึง PBL วิถีพุทธ ที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "ปัญหา" มีไว้ศึกษาให้ "รู้" คือ "รู้ทุกข์" สาเหตุของปัญหาต้องใช้ "ปัญญา" "ละ" "เลิก" หรือ "แก้ไข" เรียกว่า "ละสมุทัย" โดยมุ่งให้ผู้ศึกษา(ผู้เรียน) เกิดปัญญาเกี่ยวกับทุกข์(ปัญหา) เข้าถึงความดับไปแห่งทุกข์คือสิ้น "ปัญหา" นั้นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจะบรรลุธรรมดังกล่าวนี้ได้ ต้องเจริญมรรค(มีองค์ ๘) เหมือนหนทางปฏิบัติและภาวนา ในการพัฒนายกระดับจิตวิญญาณของใจ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)







