วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หลักการ Coaching, Mentoring, และ Counseling

หลังจากอ่าน cc mail ของ "ผู้ใหญ่" ที่ให้โอกาสผมท่านหนึ่ง ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะ "ถอดบทเรียน" เชิงสังเคราะห์ จากประสบการณ์ทำงานภาคสนามในเขตพื้นที่ ทั้งบทบาทประสานเครือข่าย LLEN บทบาทการขับเคลื่อน PLC  และบทบาทนักวิชาการ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ผมสืบค้นด้วย google เกี่ยวกับ การฝึก(Coaching) การเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) และ การให้คำปรึกษา (Counseling) พบข้อมูลมากล้นเว็บไซต์ แต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มีฐานบนงานบริษัทเศรษฐกิจ ที่เน้นคิดและทำเพื่อแข่งขันสู่ความสำเร็จและชนะ (Win) คำที่อยู่ในระดับเดียวกันที่น่าสนใจอีกคำคือ Teamwork

สำหรับครู Teamwork คือ ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (PLC) ที่ครูแต่ละคนเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน  ผมมองว่า ในการทำงานกับครู การ Coaching, Mentoring, และ Counseling ไม่ควรแยกส่วนออกจากกันว่า ครูควรเป็นโค๊ช ผอ.เป็นพี่เลี้ยง นักวิชาการเป็นที่ปรึกษา แต่ทุกคน ทั้งครู ผอ. นักวิชาการ ควรเป็น กันลยาณมิตร(KanlayanaMittree) ต่อกัน และเลือกทำบทบาท Coaching, Mentoring, และ Counseling ตามแต่ศักยภาพ ประสบการณ์ของตนเอง ตามแต่โอกาส กาละและเทสะ ตามแต่ความเหมาะสม โดยมีหลักเน้นดังภาพ



เพื่อนนักปฏิบัติผู้อ่าน โปรดลองพิจารณาผ่านโสตเปรียบสี ว่าแต่ลบทบาทมีความแตกต่าง สอดคล้องอย่างไร ตามแต่ใจท่านเถิด...

แล้วท่านคิดอย่างไร......

เรียนรู้จาก อ.ชัยวัฒน์ "คิดแบบอ่างน้ำ"

วันที่ 24 กรกฎาคม 2556 วันสุดท้ายของค่าย "เสริมพลังศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ที่ คำแสดรีสอร์ท กาญจนบุรี

ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ จาก "กูรู" อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ครูผู้กำลัง "สั่งสม" ความดี  ผมตั้งใจว่า จะฝึกฝนตนเองให้มีจิตวิญญาณสูงเช่นท่านให้ได้

สิ่งที่ประทับใจ และนำมาใช้ทันทีที่เวที ผอ.และครูแกนนำในโครงการขับเคลื่อน ปศพพ. อีสานบน คือ การคิดเชิงระบบ (System Thinking)  ขออนุญาตเรียกใหม่ง่ายๆ ว่า "คิดแบบอ่างน้ำ"  ดังรูป



ไม่น่าเชื่อว่า แค่เพียงน้ำไหลเข้าอ่าง จำนำมาสอนระบบการคิด หรือที่เรียกว่า "คิดเชิงระบบ" ได้ดี ดีในที่นี้คือ ทำเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย อธิบายได้สั้นๆ

ท่านเน้นคำ 3 คำ  คือ น้ำไหลเข้า (Flow in) น้ำไหลออก (Flow out) และน้ำในอ่าง (Stock) หลักการคิดมี 3 ขั้นคือ
  1. น้ำในอ่าง หรือ สต็อก ของเรามีอะไรบ้าง ในบริบทวันนั้นคือ การที่เป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ต้องมีอะไรบ้างเช่น มีครูแกนนำ มีนักเรียนแกนนำ มีงบประมาณสนับสนุน มีการบริหารจัดการที่ดี มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ฯลฯ
  2. น้ำที่ไหลออก หรือ อะไรกำลังไหลออกจากอ่างบ้าง เช่น ครูกำลังจะเกษียณกี่คน ผอ.จะย้าย แหล่งเรียนรู้เสื่อมโทรม ฯลฯ 
  3. และ จำจัดการ "น้ำไหลเข้า" อย่างไร ให้มี "น้ำในอ่าง" ตามต้องการ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายปลายทาง เช่น ถ้าครูแกนนำจะเกษียณ ต้องพัฒนาครูรุ่นใหม่ให้เป็นครูแกนนำอย่างไร ต้องจัดการเรียนรู้อย่างไร ให้ยั่งยืน ฯลฯ 
วันที่ 25 กรกฎาคม 2556  หลังจากอธิบาย "การคิดแบบอ่างน้ำ" นี้แล้ว เราให้ ผู้อำนวยการโรงเรียน ได้ทดลองทำกิจกรรม "กระดาษ 3 พับ" เพื่อเขียน Stock, Flow in, Flow out ลงในแต่ละคอลัมน์ ก่อนจะเปิดโอกาสให้นำเสนอ

ผมประทับใจ ผอ.พรเทพ จากโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม ที่วิเคราะห์ปัจจัยเข้าออกนอกในได้ชัด อีกทั้งยังบอกความท้าทายที่จะมุ่งไป 2 ประการ ของโรงเรียน  ผมขอบันทึกไว้ตรงนี้ด้วย เผื่อจะมีโรงเรียนอื่นๆ นำไปพิจารณา  ได้แก่
  1. การทำวิจัยเพื่อให้รู้ว่า การนำหลัก ปศพพ. มาขับเคลื่อนในโรงเรียน มีผลต่อนักเรียน ต่อครู ต่อโรงเรียน อย่างไร
  2. การเชื่อมโยงผลสำเร็จสู่ชุมชนและสังคม 
ขอบคุณท่านแทนเด็กๆ ลูกหลานเรา ไว้ ณทีนี่ อีกทีครับ

อ.ต๋อย

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เราควรสอนเด็กๆ ลูกหลาน ผ่านกระบวนการ "สั่งสม"

ขณะเดินทางไปราชการร่วมกับ ผอ.สวัสดิ์ มะลาหอม ผมคุยกับท่านเรื่องสำคัญ ที่ผมเพิ่งจะเข้าใจ มั่นใจว่าเป็นหลักธรรมชาติจริง และยิ่งภูมิใจเมื่อได้บอกท่าน ผอ.พอเพียงต่อ เกี่ยวกับ ทฤษฎี "การสั่งสม"

ผมไม่ได้ใช้คำว่า "สั่งสมบุญ" หรือ สั่งสมอะไรทั้งนั้น เพราะกลัวอักขระจะเปลี่ยนความหมายของสิ่งที่ไม่ใช่ "อัตตา" ให้กลายเป็นความเข้าใจผิด คิดว่า "บุญ" ซื้อหากันได้เหมือนสังคมไทยในวันนี้

หลายครั้งที่ผมเข้าร่วมกิจกรรมด้านจิตตปัญญาศึกษา ที่ทำสุนทรียสนทนาเรื่องความเป็นมาหรือความฝันในวัยเด็ก ผมสรุปกับตนเองว่า กิจกรรมนี้อาจใช้ได้ดีกับ "เด็กตะวันตก" ที่มีวัฒนธรรมการปลูกฝังให้เด็กๆ มี "ความฝัน" เป็นของตนเอง แต่กับเด็กไทย คนไทย ที่เน้นการ "บอก สอน ป้อน สั่ง" เน้นเรียนแบบ "นั่ง" แทนที่จะเน้น "ปลุกพลัง" ในตัวเด็กแล้ว ไม่เวิร์ค (ผมสังเกตว่าหลายคนไม่มีความฝันจริงจังใดๆ ส่วนใหญ่เป็นเพียงความหลง อยากมี อยากเป็นชั่วคราว)

 ผมทดลองเปลี่ยนคำถามใหม่กับ "คนไทย" ที่มาทำสุนทรียสนทนาว่า "อะไร สิ่งใด หรือเหตุใด เราจึงเป็นเราในวันนี้"  ปรากกฎว่าได้ผล  กับตัวผมเองก็ได้ผล ผมอธิบายได้ว่า การที่มีศรัทธาจนหันมาฝึกปัญญาตามหลักพุทธ เพราะตอนสมัยยังเด็ก คุณตา พรมมา ศรีแสง คุณตาแท้ๆ ฝึกให้นั่งสมาธิตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน  ตอนหลังเมื่อเติบโตไปเรียนในเมือง แม้จะหลงแสงสีเสียง แต่ก็รอดตายจากสังคมเสี่ยงนี้มาได้

ผมเล่าให้ ผอ.สวัสดิ์ ฟังด้วยว่า ผมเคยอ่านหนังสือของ หลวงพ่อจรัญ ที่ท่านบอกกับญาติของคนบ้าคนหนึ่งว่า ให้ดูแลให้เขาทำความดีไว้ แม้เขาไม่สามารถหายได้เร็วนี้ หมดกรรมเก่ากรรมดีจะให้ผล จนหายได้ภายหลัง

เมื่อยอมรับ
  • หลักของธรรม (ธรรมนิยาม)  สิ่งใดๆ ย่อมเกิดจากเหตุ  เหตุน้อย ผลน้อย เหตุมาก ผลมาก เหตุพิเศษ ผลพิเศษ (คำสอนของหลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด)
  • หลักของกรรม (กรรมนิยาม) แต่ละคนมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย 
  • หลักของใจ (จิตตนิยาม) คือ เรามีใจ (จิต) เป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งล้วนสำเร็จด้วยใจ  
  • หลักของธรรมชาติภายนอกได้แก่ อุตุนิยาม และพีชนิยาม  

และเมื่อพิจารณาร่วมกับ หลักการเรียนรู้ ปัญญา ๓ ที่พุทธเจ้าตรัสสอน วิธีการทำให้เกิดปัญญา 3 ทางคืก จากการ ฟัง/อ่าน จากการคิด และจากการภาวนาหรือลงมือปฏิบัติ

สามารถสรุปให้สั้นง่าย ได้ใจความของคำว่า "สั่งสม" ที่กระผมหมายถึง ดังนี้ครับ



  • ต้อง "พาทำ" เด็กๆ ลูกหลานเรา ต้องได้ "สั่งสม" แม้ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจในขณะนั้นๆ ก็ไม่เป็นไร เขาจะเข้าใจในภายหลัง เมื่อ "พลัง" ที่ "สั่งสม" ในตัวเขาเพียงพอ .....
  • เพราะ ว่าปัญญาเขาเกิดจาก "การฟัง การอ่าน" เราจึงต้องเป็น กัลยาณมิตร "บอก สอน ป้อน ให้" จัดให้เขาผ่านพบประสบกับสิ่งแวดล้อมที่ดี (ปรโตโฆษะ) พบแต่สิ่งดี ที่มีประโยชน์ เพื่อให้เขาได้ "สั่งสม" ความดี
  • เพราะ ปัญญาของเขาเกิดจาก "การคิด" เราจึงต้องฝึกให้เขารู้จัก "จิต" รู้จัก "จินตนาการ" โดยอำนวยให้ได้ "ฝึกคิด" ฝึกประสบการณ์ ผ่านกระบวนการคิดโดยแยบคาย หรือ โยนิโสมนสิการ 10 ประการ
  • เพราะสิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากการ ปฏิบัติ พวกเขาจึงต้องได้ "ฝึกหัด" การทำงานด้วย อิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ... ธรรมแห่งความสำเร็จในการงาน  งานแต่ละชิ้นที่สัมฤทธิ์จะทำให้จิตของเขามั่นใจและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
  • ขณะ เดียวกัน ก็ต้องบ่มเพาะจิตใจแบ่งปันเอื้อเฟื้อ ด้วย พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา (แน่นำให้ฟังธรรมของ ท่าน ป.ปยุตโต)
  • และสุดท้าย ธรรมที่จะทำให้เขาอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข คือ ภาคปฏิบัติของพรหมวิหารทั้ง 4 คือ สังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา 
ไม่เฉพาะ "พาทำ"  แต่ ต้อง "ชวนให้ทำ" "ทำให้ดู" ตลอดจน ต้องรู้จัก "วางเฉย" เพื่อเปิดโอกาสให้เขาฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง
สุดท้ายนี้ สรุปให้สั้น คือ
  • เรา ต้องไม่ทิ้งเด็กๆ คนไหนให้เป็นน้ำตุ่มรั่ว นอกจากไม่ได้ "สั่งสมความดี" ในตัวแล้ว ยังเสี่ยงต่อการ "สั่งสมความชั่ว" ที่จะพาตัวตกต่ำต่อไป 
 ท่านคิดว่าไงครับ