ผมไม่ได้ใช้คำว่า "สั่งสมบุญ" หรือ สั่งสมอะไรทั้งนั้น เพราะกลัวอักขระจะเปลี่ยนความหมายของสิ่งที่ไม่ใช่ "อัตตา" ให้กลายเป็นความเข้าใจผิด คิดว่า "บุญ" ซื้อหากันได้เหมือนสังคมไทยในวันนี้
หลายครั้งที่ผมเข้าร่วมกิจกรรมด้านจิตตปัญญาศึกษา ที่ทำสุนทรียสนทนาเรื่องความเป็นมาหรือความฝันในวัยเด็ก ผมสรุปกับตนเองว่า กิจกรรมนี้อาจใช้ได้ดีกับ "เด็กตะวันตก" ที่มีวัฒนธรรมการปลูกฝังให้เด็กๆ มี "ความฝัน" เป็นของตนเอง แต่กับเด็กไทย คนไทย ที่เน้นการ "บอก สอน ป้อน สั่ง" เน้นเรียนแบบ "นั่ง" แทนที่จะเน้น "ปลุกพลัง" ในตัวเด็กแล้ว ไม่เวิร์ค (ผมสังเกตว่าหลายคนไม่มีความฝันจริงจังใดๆ ส่วนใหญ่เป็นเพียงความหลง อยากมี อยากเป็นชั่วคราว)
ผมทดลองเปลี่ยนคำถามใหม่กับ "คนไทย" ที่มาทำสุนทรียสนทนาว่า "อะไร สิ่งใด หรือเหตุใด เราจึงเป็นเราในวันนี้" ปรากกฎว่าได้ผล กับตัวผมเองก็ได้ผล ผมอธิบายได้ว่า การที่มีศรัทธาจนหันมาฝึกปัญญาตามหลักพุทธ เพราะตอนสมัยยังเด็ก คุณตา พรมมา ศรีแสง คุณตาแท้ๆ ฝึกให้นั่งสมาธิตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน ตอนหลังเมื่อเติบโตไปเรียนในเมือง แม้จะหลงแสงสีเสียง แต่ก็รอดตายจากสังคมเสี่ยงนี้มาได้
ผมเล่าให้ ผอ.สวัสดิ์ ฟังด้วยว่า ผมเคยอ่านหนังสือของ หลวงพ่อจรัญ ที่ท่านบอกกับญาติของคนบ้าคนหนึ่งว่า ให้ดูแลให้เขาทำความดีไว้ แม้เขาไม่สามารถหายได้เร็วนี้ หมดกรรมเก่ากรรมดีจะให้ผล จนหายได้ภายหลัง
เมื่อยอมรับ
- หลักของธรรม (ธรรมนิยาม) สิ่งใดๆ ย่อมเกิดจากเหตุ เหตุน้อย ผลน้อย เหตุมาก ผลมาก เหตุพิเศษ ผลพิเศษ (คำสอนของหลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด)
- หลักของกรรม (กรรมนิยาม) แต่ละคนมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
- หลักของใจ (จิตตนิยาม) คือ เรามีใจ (จิต) เป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งล้วนสำเร็จด้วยใจ
- หลักของธรรมชาติภายนอกได้แก่ อุตุนิยาม และพีชนิยาม
และเมื่อพิจารณาร่วมกับ หลักการเรียนรู้ ปัญญา ๓ ที่พุทธเจ้าตรัสสอน วิธีการทำให้เกิดปัญญา 3 ทางคืก จากการ ฟัง/อ่าน จากการคิด และจากการภาวนาหรือลงมือปฏิบัติ
สามารถสรุปให้สั้นง่าย ได้ใจความของคำว่า "สั่งสม" ที่กระผมหมายถึง ดังนี้ครับ
- ต้อง "พาทำ" เด็กๆ ลูกหลานเรา ต้องได้ "สั่งสม" แม้ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจในขณะนั้นๆ ก็ไม่เป็นไร เขาจะเข้าใจในภายหลัง เมื่อ "พลัง" ที่ "สั่งสม" ในตัวเขาเพียงพอ .....
- เพราะ ว่าปัญญาเขาเกิดจาก "การฟัง การอ่าน" เราจึงต้องเป็น กัลยาณมิตร "บอก สอน ป้อน ให้" จัดให้เขาผ่านพบประสบกับสิ่งแวดล้อมที่ดี (ปรโตโฆษะ) พบแต่สิ่งดี ที่มีประโยชน์ เพื่อให้เขาได้ "สั่งสม" ความดี
- เพราะ ปัญญาของเขาเกิดจาก "การคิด" เราจึงต้องฝึกให้เขารู้จัก "จิต" รู้จัก "จินตนาการ" โดยอำนวยให้ได้ "ฝึกคิด" ฝึกประสบการณ์ ผ่านกระบวนการคิดโดยแยบคาย หรือ โยนิโสมนสิการ 10 ประการ
- เพราะสิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากการ ปฏิบัติ พวกเขาจึงต้องได้ "ฝึกหัด" การทำงานด้วย อิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ... ธรรมแห่งความสำเร็จในการงาน งานแต่ละชิ้นที่สัมฤทธิ์จะทำให้จิตของเขามั่นใจและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
- ขณะ เดียวกัน ก็ต้องบ่มเพาะจิตใจแบ่งปันเอื้อเฟื้อ ด้วย พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา (แน่นำให้ฟังธรรมของ ท่าน ป.ปยุตโต)
- และสุดท้าย ธรรมที่จะทำให้เขาอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข คือ ภาคปฏิบัติของพรหมวิหารทั้ง 4 คือ สังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา
สุดท้ายนี้ สรุปให้สั้น คือ
- เรา ต้องไม่ทิ้งเด็กๆ คนไหนให้เป็นน้ำตุ่มรั่ว นอกจากไม่ได้ "สั่งสมความดี" ในตัวแล้ว ยังเสี่ยงต่อการ "สั่งสมความชั่ว" ที่จะพาตัวตกต่ำต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น