วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรียนรู้จากเวที Asia Education Leaders Forum (AELF) ในงาน Wolrddidac Asia 2013

วันที่ 9-11 ตุลาคม 2556 มีงานการศึกษาระดับโลก Worlddidac Asia 2013 และการประชุมผู้นำด้านการศึกษาแห่งเอเชีย หรือ Asia Education Leaders Forum (AELF) ที่จัดโดยสำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีศึกษาของเอเซียตะวันออเฉียงใต้ (SEAMEO) องค์การยูเนสโก (UNESCO) สมาคมเวิล์ดไดแด็ค (Worlddidac Assosiation) และบริษัท เทรดเด็กซ์ ประเทศไทย จำกัด 

สมาคมเวิร์ลไดแด็คเป็นกลุ่มผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุ อุปกรณ์ หนังสือ เฟอร์นิเจอร์ เทคโนโลยี ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ สำหรับวงการศึกษา มีสมาชิกกว่า 300 บริษัท จาก 42 ประเทศทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นงานแสดงมหกรรมสินค้าทางการศึกษาจากทั่วโลกจริงๆ คิดว่าคงไม่ต้องเล่าให้ฟัง เพราะสตางค์โรงเรียนของเราก็คงไม่ค่อยมีมาซื้อ เช่น กล้องดูดาวตัวละแสนสามหมื่น เป็นต้น จากที่ได้เดินตระเวนดู 1 รอบ หากให้แสดงความเห็นและที่อยากจะสะท้อน มีดังนี้ครับ
  • ผอ.แสน พูดกับผมหลังจากที่ท่านไปตระเวนดูว่า อยากเสนอให้มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าภาพจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ที่เด็กๆ นักเรียนจะได้เข้ามาดูอุปกรณ์ที่เขานำมาจัดแสดงโชว์อย่างนี้บ้าง เพราะเมื่อทางโรงเรียนคงไม่มีทุนทรัพย์จะจัดซื้อได้.. ผมเห็นด้วยกับท่านบางส่วน คือมหาวิทยาลัยควรเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีอุปกรณ์สาธิตต่างๆ และคิดต่อว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ว่าควรจะสร้างจากนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนที่ไฮเท็คล้ำหน้าที่มหาวิทยาลัยไม่มี รัฐบาลต้องลงทุนทำพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ไว้ในแต่ละภูมิภาค...
  • ผมเห็นส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ช่วย "การสอน" มากกว่าช่วย "การเรียน" หรืออีกนัยคือ อุปกรณ์ช่วยครูมากกว่าอุปกรณ์ช่วยเด็ก เช่น กระดานอัฉริยะ โมเดลเครื่องยนต์กลไกสำเร็จรูป โปรเจ็คเตอร์ ซอฟแวร์เกมส์ เป็นต้น.... แต่ก็ไม่แปลกเพราะ didactic แปลว่า "ชอบสอน" เน้น "สอน"... อย่างไรก็ดี ก็มีบางอันที่สนใจที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ความคิดใช้ความสามารถ และน่าจะได้ฝึกความฉลาดและทักษะ เช่น เกมส์ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ และโมเดลกลไกสาธิตหลักการและกฎต่างๆ ในธรรมชาติ ที่เด็กต้องต่อตั้งเองเหมือนเล่น Lego... ผมคิดถึงลูกสาวขึ้นมาทันทีที่ได้เห็น และเมื่อเห็นราคาอันเล็กๆ 2,500 ผมก็คิดขึ้นได้ว่า เดี๋ยวไปหาทางสร้าง "ปั้งโป๊ะ" ให้เล่นดีกว่า...ฮา
  • เมื่อเปรียบกับ "ปัญหาหน้างาน" ของการศึกษาไทยแล้ว คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องเร่งด่วนซื้อไปแจกแบบ "ยกเข่ง" เว้นแต่ว่าจะเป็นโรงเรียนเฉพาะทางจริงๆ 
ส่วนการประชุมผู้นำด้านการศึกษาแห่งเอเชีย (AELF) ที่จัดพร้อมกันนั้น ปีนี้จัดภายใต้แนวคิด “Southeast Asia Education, Working Together for Sustainable Future”  ผู้จัดใช้คำว่า "ร่วมมือประสานเพื่ออนาคตอันยั่งยืน" ผมเห็นในโบรชัวร์และเว็บไซต์แจ้งว่าจำนวนผู้นำด้านการศึกษาน่าจะประมาณ 2,000 ราย ผมประมาณด้วยสายตาได้ประมาณ 200 วันแรก และประมาณ 60 คนในวันถัดมา สะท้อนในมุมหนึ่งว่า คนไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา ไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นปัญหาเร่งด่วนจริง...

ผมมีเหตุจำเป็นต้องเดินทางกลับก่อนครบกำหนดวันสุดท้าย จึงได้เข้าร่วมฟังแค่เพียง 2 วันแรก แต่จากการฟัง 2 วันแรก ที่เห็นเป็นรูปแบบเดียวกัน คือ ในช่วงวันเวลาครึ่งวัน จะ เริ่มด้วยการ "ปาฐกถาพิเศษ" จากวิทยกรที่เด่นที่สุดในช่วงนั้น 1 ชั่วโมง แล้วตามด้วยการ "เสวนาร่วม" ของวิทยากร 3 ท่าน โดยผู้ดำเนินรายการ (modulator) 1 ท่าน อีก 2 ชั่วโมง... ทั้งสองวัน การเสวนาร่วมเป็นเหมือนการกล่าว "ปาฐกถา" ประกอบพาวเวอร์พ็อยท์นั่นเอง...ดังนั้นวันที่สามก็คงจะมีรูปแบบเดียวกัน.. ความน่าสนใจจึงน่าจะไปอยู่ที่ตัววิทยากรและหัวเรื่องที่ท่านพูดมากกว่ากิจกรรมนำเสนอ...

เช้าวันแรก ท่านรัฐมนตรีฯ กล่าวถึงเป็นนโยบายที่ท่านได้ประกาศทางสื่อไปแล้วเช่น เน้นพัฒนาให้อัตราผู้เรียน อาชีพ:สามัญ เป็น 50:50 และพัฒนาการวิจัยของครูสู่การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน (อ่านคำกล่าวของท่านได้ที่นี่)  ดร.วิทยา จิระเดชากุล ผู้อำนวยการ SEAMEO บอกว่า ต้องจัดการระบบเทียบโอนนิสิต และแลกเปลี่ยนบุคลากร และพัฒนาคุณภาพการศึกษาร่วมกัน ส่วนศาสตราจารย์ วัสสิลิออส อี เอฟธีนากิส ประธานสมาคมเวิร์ลไดแด็คบอกว่า เอเชียและอาเซียนจะต้องร่วมมือกัน พัฒนานักศึกษาให้ก้าวสู่การเป็นพลเมืองโลก และต้องคุยกันให้ชัดว่าครูต้องเปลี่ยนบทบาทใหม่ในสังคมอย่างไรบ้าง

ตอนบ่ายเป็นปาฐกถาพิเศษของ ศาสตราจารย์ ตัน อุน เซง คณบดีคณะครุศาสตร์ สถาบันการศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์ (NIE) วิธีการ "นำสู่บทเรียน" ของท่านแปลกดีครับ...

ท่านเล่าว่า วันหนึ่งไอน์สไตน์ขึ้นรถไฟจะไปไหนสักแห่ง พอพนักงานมาขอตรวจดูตั๋ว ไอน์สไตน์ก็ค้นหาในกระเป๋าเสื้อผ้าและทุกกระเป๋าที่เขามีแล้วบอกว่า "ผมลืมไปแล้วผมเอาไว้ไหน" .. พนักงานพอจำได้ว่าเขาคือไอน์สไตน์ผู้โด่งดัง ก็บอกทันทีว่า "ไม่เป็นไรครับ เชิญท่านเดินทางพักผ่อนให้สบาย ผมจะอำนวยความสะดวกให้เอง"...แล้วก็กำลังจะเดินออกไป  (ศ.ตัน ท่านพูดทั้งทำท่าทาง จึงทำให้ผู้ฟังสนใจยิ่ง) ... แต่ไอน์สไตน์กลับพูดขึ้นเสียงดังว่า... " ผมลืมไปด้วยว่าผมกำลังจะไปไหน รถไฟขบวนนี้จะไปไหนครับ"...ฮา ศ.ตันท่านสรุปว่า การศึกษานั้นไม่ใช่เพียงรู้ว่ากำลังทำอะไรแก้ปัญหาอะไรเท่านั้น แต่ต้องรู้ด้วยว่ากำลังจะไปทางไหนและไปอย่างไรด้วย


ท่านบอกว่า ปัจจัยของความสำเร็จทางการศึกษาของสิงคโปร์นั้น คือความร่วมมือประสานกัน 3 ส่วนคือ โรงเรียน (Schools) มหาวิทยาลัย (NIE) และกระทรวงศึกษาธิการ (MOE)... ผมชอบตรงที่ท่านเปรียบเทียบกับรูปสามมิติหลอกสายตา จนไม่รู้ว่าอะไรเกิดก่อนอะไร ขึ้นกับว่าเราจะมองใหมุมไหนเท่านั้น..ท่านบอกว่าในศตวรรษใหม่นี้ การศึกษาของครูก็ต้องปฏิรูป (Reform) เช่นกัน


อีกสไลด์หนึ่งที่ผมชอบ คือการแบ่งขั้นการพัฒนาบทบาทครูออกเป็น 3 ชั้นดังรูป



  • ชั้นแรกคือ สอนดี ครูเป็นแหล่งความรู้ถ่ายทอด ถ่ายโอนสู่นักเรียน 
  • ชั้นที่สองคือ อำนวยช่วยกัน เน้นความผูกพัน ทำข้อตกลง หรือสัญญา เน้นกระบวนการและการมองอย่างองค์รวม 
  • ชั้นที่สามคือ การออกแบบ สร้างสรรค์ จัดการความรู้ สื่อสารเผยแพร่ และสร้างสังคมหรือสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ 
ต่อมาในช่วงเสวนา เป็นตอนที่ผมคิดว่า "คุ้มค่า" กับการมา และค่าลงทะเบียน (ขอบคุณมูลนิธิสยามกัมมาจล ไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ) อย่างยิ่ง เมื่อได้ฟัง ศาสตราจารย์ ไค มิง เชง จากมหาวิทยาลัยฮ่องกง ที่ประทับใจเพราะท่านใช้ข้อมูลสนับสนุนได้อย่างนาเชื่อถือ และหักมุมความเข้าใจของคนทั่วไป หลายประเด็นดังนี้ครับ ท่านบอกว่า
  • มีการสำรวจพบว่า ที่ Imperial College มหาวิทยาลัยอันดับ 10 ของโลก (ดูลำดับ 1-9 ที่นี่) นิสิตมีแรงบันดาลใจในการเป็นวิศกรลดลงอย่างน่าตกใจ เมื่อเรียนปีสูงขึ้น ดังสไลด์

  • มีการสำรวจวิชาต่างๆ ที่เรียนรู้ใน MIT โดยสมาคมศิษย์เก่า เทียบกับความรู้ที่ได้นำไปใช้จริงในชีวิตจริง พบว่า สวนทางกันแบบชนิดที่ว่า เรียนหนักมากอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้ใช้ในชีวิตจริงกลับเป็นสิ่งที่ไม่ได้เน้นในมหาวิทยาลัย (วิชาฝั่งซ้ายเรียนหนัก ขวาเรียนเบา..เสียดายที่ผมถ่ายรูปอีกสไลด์ที่แสดงสิ่งที่นำไปใช้จริงไม่ทัน)

  • ในปี 2006 สำรวจพบว่า คนอังกฤษมีการเปลี่ยนงานเฉลี่ย 13 ในชีวิต และ 10.6 ครั้งสำหรับคนอเมริกา 
  • คนอเมริกันจะเปลี่ยนอาชีพโดยเฉลี่ยน 4.3 อาชีพในชีวิต (สำรวจเมื่อปี 2002)
  • งานจะมีขนาดเล็กลงแต่จะซับซ้อนขึ้น งานไม่จำเป็นต้องมีสังกัดหน่วยงาน และคนจะทำงานเชิงประสานระหว่างงานมากขึ้น ฯลฯ

  • มีชีวิตที่หลากหลายมากกว่าการทำงานกับธุรกิจ เช่น ครอบครัว วัฒนธรรม การเมือง จิตวิญญาณ ชีวิตที่ผ่านคลายยามว่าง และชีวิตหลังเกษียณ เป็นต้น 


  • และในยุคศตวรรษใหม่ ก็มีอะไรๆ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสงคราม  เศรษฐกิจล่มสลาย ฯลฯ 


วันที่สองพูดเรื่องการวัดผลและประเมินผล ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรใหม่ ที่ประทับใจเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะรู้จักกับ PISA มากบ้างจากเว็บนี้ของไทย  จึงไม่ได้บันทึกอะไรไว้มาแลก...


วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี "ชุดคำถามฝึกการคิดตามหลัก ปศพพ."

การถอดความและตีความเอกสารประกอบการบรรยายของท่านทิศนา ทำให้ผมได้ Delearn และ Relearn หลายอย่าง มีอีกหลายอย่างที่ต้องฝึกฝนตนเอง.... นำมาแบ่งไว้ให้เพื่อนครูนำสู่นักเรียนครับ..

"ชุดคำถามเพื่อฝึกการคิด/ทำตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"



ไม่ขออธิบายใดๆ เพราะแผนภาพแสดงไว้อาจจะละเอียดมากเกินไป จนทำให้เราไม่ได้ฝึกตั้งคำถามทีเดียวครับ
  • ให้ดูลำดับคำถามตามทิศของลูกศรนะครับ จากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง 
  • ไม่แนะนำให้ครูนำแผนภาพนี้ให้นักเรียน แต่ทดลองตั้งคำถามกับพวกเขาทีละคำถามๆ ไม่ตายตัว สังเกตว่า พวกเขาได้ "ฝึกคิด" และ "ฝึกทำ" ด้วยตนเองจริงๆ 
 จะดีที่สุดถ้าเราตั้งคำถามทั้งหมดนี้เอง......

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี "7 คำถามสำคัญ เพื่อพัฒนากระบวนการคิดตามหลัก ปศพพ. "

ผมเสนอว่า "7 คำถาม" ต่อไปนี้คุณครูสามารถนำไปถามนักเรียน เพื่อทดสอบ "วิถีพอเพียง" ที่เป็นผลจากวิธีที่ท่านขับเคลื่อนได้เลยครับ หากการตอบคำถามของเขามีลักษณะ 3 ประการต่อไปนี้ แสดงว่ามาดีถูกทาง....
  • ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้จำสิ่งที่ท่องมาบอก....ฟังไม่ยากครับ ฟังว่าความเร็วของเสียง น้ำเสียง เหมือนกับที่พวกเราคุยกับเพื่อนๆ แบบสุภาพๆ นั่นเลยครับ....
  • ตอบ "เหตุ" และ "ผล" อย่างเป็นเหตุเป็นผล
  • ตอบอย่างมีความสุข สนุกที่ได้นำเสนอและตอบคำถามของท่าน.... สังเกตจากสีหน้า แววตา ความมั่นใจ ความกล้า...
"7 คำถามสำคัญ เพื่อพัฒนากระบวนการคิดตามหลัก ปศพพ." มีดังนี้ครับ
  1. จะทำอะไร? / ทำทำไม?
  2. มีความรู้เพียงพอในเรื่องที่จะทำหรือไม่? / ต้องศึกษาหาความรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง?
  3. มีความพร้อมหรือไม่? / มีความเป็นไปได้ที่จะทำหรือไม่? 
  4. ทำอย่างไรจึงจะพอดี พอประมาณ? /  ทำอย่างไรจะสามารถรองรับปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้?
  5. ลงมือทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ?
  6. อะไรที่ทำได้ดี? / อะไรที่ยังทำไม่ได้ดี จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร?
  7. เกิดการเรียนรู้อะไรขึ้นบ้างจากการคิด/ทำตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
 จากศึกษาเอกสารของท่าน ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติมในแต่ละประเด็นคำถามของท่าน...ต่อไปนี้ครับ
  1. ทำอะไร?  / ทำทำไม?....ถามให้เห็นความสำคัญ เห็นประโยชน์ คุ้มค่า มีคุณค่า 
  2. มีความรู้เรื่องนั้นหรือไม่? ....ถามให้รู้รอบ (รู้กว้าง รู้ละเอียด รู้ลึก)
  3. มีความพร้อมหรือไม่? ...ถามให้สำรวจตนเอง รู้ตนเอง รู้รอบเกี่ยวกับตนเอง
    - สำรวจแบบ 5M (man, money, materials, management, market) หรือ
    - สำรวจแบบ 4มิติ (สังคม, วัฒนธรรม, เศรษฐกิจ/วัตถุ, สิ่งแวดล้อม) หรือ
    - สำรวจแบบ 3ดู (ดูตน, ดูคน, ดูชุมชนสังคมบริบท)
  4. ทำอย่างไรให้พอดี?  .... มีคุณธรรมไหม  เบียดเบียนตน คนอื่นหรือไม่  ส่งผลกระทบต่อชุมชนหรือสังคมหรือไม่...
  5. ลงมือทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ .... คุณธรรมอะไร ความรู้อะไร ที่ต้องมีต้องใช้จึงจะทำให้สำเร็จ..
  6. อะไรที่ทำได้ดี? ...ประทับใจในผลอะไรที่เกิดขึ้น.. กระบวนการ/วิธีการที่ทำ บุคคลที่เกี่ยวข้อง
  7. ได้เรียนรู้อะไร? ...ให้พิจารณาจากความรู้ที่ได้เพิ่มเติม วิธีคิดแบบใดที่เปลี่ยน เจตคติที่เปลี่ยน ตนเองดีขึ้นอย่างไร ชีวิตดีขึ้นหรือไม่ ...
ผมเสนอว่า เราฝึกปฏิบัติตนเองก่อน... แล้วค่อยย้อนถามจากประสบการณ์ของตน..น่าจะเป็นผลดีที่สุดทั้งต่อคนถามและคนตอบ..... หรือท่านชอบแบบไหนครับ...

สำหรับผมแล้วสิ่งที่ควรถามคือ "ความพยายามอะไรที่ต้องใช้ในการทำสิ่งนั้นบ้าง? และ ทางสายกลางของสิ่งนั้นคืออะไร? ... ถ้าตอบได้แสดงว่าทำสำเร็จด้วยตนเอง.....

รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี " แนวทางการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในสถานศึกษา"

ในเอกสารประกอบการบรรยายของ รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี เรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางการนำไปใช้ในสถานศึกษา"....ผมถอดความตอนแรกไว้ที่นี่ครับ บันทึกนี้ จับประเด็นจากการอ่านวิธีการ "นำหลัก ปศศพ. สู่สถานศึกษา" ท่านว่า สามารถทำได้ 3 วิธี ดังรูปครับ



ความจริง... ไม่จำเป็นอธิบายภาพเลยครับ โดยเฉพาะสำหรับผู้อ่านที่เป็นครูแกนนำขับเคลื่อนฯ  ท่านดูปุ๊ป คงจะเข้าใจปั๊บทันที .... แต่วิธีที่ดีและแนำนำคือ ลงนำภาพนี้ไปให้นักเรียนแกนนำลอง "ตีความ" อภิปรายว่า ภาพนี้บอกอะไรพวกเขาบ้าง และถ้าจะดีมากกว่านี้คือ ให้พวกเขาช่วยกันระดมสมองโดยใช้ Mind Mapping โดนใช้ ห่วงสามห่วงนี้เป็นศูนย์กลาง "Mind"

อย่างไรก็ตาม ผมเองก็อยากตีความบ้างเช่นกันครับ ....สั้นๆ
  • นำไปใช้ 2 แบบในโรงเรียน คือ ใช้กับการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน และใช้กับกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 
  • นำไปใช้อีก 1 แบบที่โรงเรียนเป็นหนึ่งในสถานที่ๆ ในนั้น ก็คือใช้กับการดำเนินชีวิตและชีวิตประจำวัน
อย่าลืมนะครับ สำหรับครูแกนนำ... นำภาพนี้ไปให้นักเรียนตีความ (เขาจะได้ฝึกคิด) และลองให้พวกเราลองทำ Mind Mapping ถอดบทเรียนสิ่งที่พวกเขาเข้าใจและกำลังทำอยู่ ... เราจะรู้ทันทีว่า พอดีหรือยัง ....

รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี "กระบวนการคิดและการปฏิบัติงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"

วันที่ 20 กันยายน 2556 ผมมีโอกาสได้ร่วมตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านห้วยหว้า ร่วมกับอาจารย์ศศินี ลิ้มพงษ์ และอาจารย์สุจินดา งามวุฒิพร จากมูลนิธิยามกัมมาจล ตอนท้ายของการประชุมสรุป อาจารย์ศศินีย์ ได้นำสไลด์ 7 คำถาม ของรองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี ไปมอบให้ ผอ.ใบบุญ ที่ท่านตอบว่า ไม่เคยได้รับ ... ผมสะท้อนเพิ่มเติมว่า เราไม่ควรยึดติดกับ 7 คำถาม หรือจะกี่คำถาม ตามที่ใครๆ จะคิดให้ แต่หัวใจน่าจอยู่ที่เราลงมือทำและตกผลึกเอาเอง...

...แต่เมื่อผ่านวันนั้นมา ผมรู้สึกติดใจว่า ตนเองจะมั่นใจและก้าวล่วงครูบาร์อาจารย์ไป แบบไม่ตั้งตั้งใจเสียแล้ว... เมื่อสำนึกดังนี้แล้ว...สิ่งที่ผมทำคือ กลับไปนำเอกสารประกอบการบรรยายของ รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี เมื่อครั้งที่ท่านปรับปรุงเมื่อเดือนมกราคม 2555 กลับมาอ่านและศึกษาซื้ออีกครั้ง (ผมได้รับเอกสารนี้จากท่านอาจารย์ศศินี ที่โรงเรียนบ้านร้านตัดผม จ. ชุมพร)...

เพื่อเป็นการเตือนตนเองให้ระวังในการคิด พูด ทำ และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ยังไม่เคยได้ฟังการบรรยายของท่าน ผมจึงขอนำมาถอดความไว้ที่นี่ ดังนี้ครับ



ความจริง.. ไม่ควรอธิบาย หากครูพิมพ์ภาพนี้แล้วนำไปให้เด็กๆ (มัธยมต้นขึ้นไป) ช่วยกันตีความ แล้วช่วยกันตั้งคำถามเพื่อนำสู่ความสำเร็จ... ไม่แน่ว่าเด็กๆ จะได้ 7 คำถามของ ท่านทิศนา ก็เป็นได้ครับ...

แต่สรุปสั้นๆ เพื่อแป่งปันหลักการคิดของท่าน ได้ดังนี้ครับ
  • ผู้ที่มีอุปนิสัยพอเพียง เวลาจะทำอะไรจะคิดตามขั้นตอนตามภาพนี้ ต่างไปก็ไม่มากแน่ครับ 
  • คือ 
    • รู้รอบเรื่องที่จะทำ 
    • นำสิ่งที่รู้มาคิดด้วยหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
    • ตัดสินใจว่าเป็นไปได้หรือไม่ ทำอย่างไรจะพอดี
    • ลงมือทำด้วยสติ เพียร อดทน ระมัดระวัง และรอบคอบ 
  • พอประมาณก็คือเหมาะสมกับตน กับคน กับชุมชนสังคมบริบท
  • เหมาะสมด้วยเหตุและผลอย่างเป็นเหตุเป็นผล 
  • คุณธรรมคือสิ่งที่จะทำให้สำเร็จ
ก่อนจบแนะนำแบบเน้นย้ำว่า  ลองนำรูปแผนผังด้านบนไปให้นักเรียนแกนนำตีความร่วมกันว่า "จะถามอย่างไรให้น้องๆ หรือเพื่อนๆ คิดทำได้ตามแผนผังนี้"

... น่าจะเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการขับเคลื่อนฯ 

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

"ครูฝึกกก" จะค่อยๆ ถอย... คอยวันที่เขาจะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง

จากการ "ตะลุย" ไปตามพื้นที่ ตามโรงเรียนต่างๆ ที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาสำคัญของการพัฒนาการเรียนรู้แบบไทย คือ เราไม่ให้โอกาสนักเรียนได้ฝึกคิดเอง ตั้งปัญหาเอง ทำเอง แก้ปัญหาเอง นำเสนอเอง มากนัก
อาจารย์ศศีน ลิ้มพงษ์ และอาจารย์สุจินดา งามวุฒิพร ผู้ทรงคุณวุฒิจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ได้ไห้ข้อความเห็นไว้ในการร่วมกันตรวจเยี่ยมโรงเรียนในโครงการขับเคลื่อน ปศพพ. พื้นที่อีสานตอนบน เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ผมจึงเกิดแรงบันดาลใจที่เสนอว่า

"เรา" ในที่นี้คือ ครูและผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กๆ จะต้องค่อยๆ ถอยออกมา...เพื่อที่ "เขา" (ก็คือนักเรียน) จะไปถึงเป้าหมายที่แท้จริงของเรา นั่นก็คือ "เรียนรู้ด้วยตนเองได้" หรือนี่ก็คือ "พึ่งตนเองได้" ซึ่งจะถือได้ว่า "เป็นคนพอเพียง"  

ถ้าสมมติครูออกแบบ "วิธีการเรียนรู้" เพื่อเน้น "กระบวนการเรียนรู้" เป็น 4 ขั้นตอน (8ส.) ได้แก่  สืบค้น/สำรวจ สังเคราะห์/สืบสวน สร้างสรรค์/สร้างสื่อ และสื่อสาร/นำเสนอ ดังรูป 

ครูต้องเป็น "ครูฝึกกก" มี ก.ไก่ 3 ตัว (ตามแนวคิดของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ครั้งหนึ่งท่านบรรยายที่งาน ปิดโครงการ LLEN)
  • "ฝึก" ตัวแรกคือ "ฝึกคิด" คือสามารถนำความรู้ (Fact) ที่ได้เรียนรู้มาคิดบูรณาการให้เกิดความรู้ขึ้นในตนเอง คือ เข้าใจ อธิบายได้ วิธีการคือ ต้องจัดให้มีการอภิปราย ถอดบทเรียน หรือสะท้อนการเรียนรู้กันบ่อยๆ โดยครูเป็นผู้ออกแบบ กำหนดปัญหา สร้างสถานการณ์ หรือสร้างนวัตกรรมเครื่องมือ เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจในเนื้อหาและทักษะที่สำคัญ
  • "ฝึกก" ตัวต่อมาคือ "ฝึกทำ" เมื่อมีความรู้และทักษะเบื้องต้นแล้ว ครูต้อง "ถอยออกมา" จากการเป็นผู้ออกแบบและกำหนดปัญหาหรือหัวเรื่องต่างๆ มาเป็น "ผู้ร่วม" ร่วมระดมความคิด เป็นคนอำนวยให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (ควรฝึกการทำงานเป็นทีม) ได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการ 8ส. เป็นครูอำนวย หรือเป็น ครูฟา (Facilitator) ... นักเรียนจะต้องลงมือปฏิบัติเอง ทำ BAR, AAR, สะท้อนการเรียนรู้ของตนเอง ....ครูเน้นการแนะนำบ้าง แต่ต้องปล่อยให้เรียนรู้จากการทำงาน (Learning by doing) อาจเป็นโครงการต่างๆ เช่น การจัดค่าย การจัดทำงาน พิธีกรรม พิธีการต่างๆ ฯลฯ
  • "ฝึกกก" ก.ตัวสุดท้าย หมายถึง "ฝึกให้เรียนรู้ด้วยตนเอง" ครูต้อง "ถอยออกมาทั้งหมด" โดยไม่เข้าไปมีส่วนร่วมๆ ใด กับกระบวนการเรียนรู้ของเด็กๆ "ปล่อย" ให้เขาได้ สงสัยเอง สืบค้นเอง สำรวจเอง ทดลองทำเอง ลงมือทำเอง สังเคราะห์เอง แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ด้วยตนเอง สร้างสื่อ เลือกสื่อ สื่อสารนำเสนอด้วยแบบวิธีของเขาเอง ครูเป็นเพียงผู้ประเมินและสะท้อนกลับ (feedback) เพื่อให้ "เขา" ได้ "เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ของตนเอง"


สรุปให้สั้นคือ "ต้องมีวันที่ครูฝึกกก จะถอย.. เหลือเพียง "ฝ" เฝ้าคอยชื่นชม" .....

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตัวอย่างการสอนให้ได้ "ฝึกคิด" : การสอนแบบ "พาคิด"

การตระเวนไปนิเทศการสอนแบบ KM-ยกกำลังสอง ตามโรงเรียนประถมศึกษาในเขตพื้นที่ สพป.มหาสารคาม เขต 3 และ สพป.กาฬสินธุ์ เขต 1 ทำให้ผมได้มีโอกาสได้ "สาธิตการสอน" ให้คุณครูดูหลายครั้ง

วิธีการสอนแบบ "พาคิด" เป็นการสอนให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" วิธีหนึ่ง ผมทำแบบนี้ครับ


ตัวอย่างที่ 1 เรื่อง เครื่องดนตรี ผมได้ทดลองสาธิตการสอนนี้ที่โรงเรียนนาโพธิ์ สพป.มค. 3

เริ่มที่ ดึงสมาธิเด็กๆ ก่อน
  • นักเรียนทั้งหลายครับ.....ห้นมาทางนี้ก่อนครับ... หมุนเก้าอี้มาทางนี้ด้วยลูก...จะได้นั่งถนัด.. มองเห็นมือครูชัดไหมลูก (ยกมือขึ้น)... คนหลังสุดชื่ออะไรนะครับ (ตรวจเช็คว่าเขาได้ยินระดับเสียงที่เราพูดไหม)..ชื่อกิตติพงศ์ (ชื่อสมมติครับ) ชื่อเล่นชื่ออะไรครับ (เรียกชื่อเล่นจะเข้าถึงเด็กได้มากกว่า...แต่คุณครูที่อยู่กับเด็กนานๆ ไม่จำเป็นครับ) ชื่อน้องตั้มใช่มั้ยครับ .... สวัสดีครับน้องตั้ม ....  น้องตั้มครับนี่กี่นิ้วครับ (พร้อมชูนิ้วมือขึ้น การทำแบบนี้เพื่อตรวจเช็คระยะการมองเห็นชัดของเด็กในกรณีที่เด็กนั่งไกล แต่คราวนี้ผมใช้เพื่อ "วอร์มอัพ" การ "พาคิด") .... ถามในลักษณะคล้ายกันนี้แต่ต่างเรื่องกันกับนักเรียนอีก 1 หรือ 2 คน 
  • วันนี้เราจะคุยกันเรื่อง "เครื่องดนตรี" รู้จักเครื่องดนตรีไหมลูก ใครรู้จักเครื่องดนตรียกมือขึ้น (ดึงสมาธิเป็นระยะด้วยการทำให้มีส่วนร่วม) ยกสูงสูงๆ ลูก ... หนึ่ง สอง สาม สี่ ...... สิบคน (โดยมากนักเรียนไทยเราจะไม่ค่อยชอบยกมือ เลยต้องใช้อุบายย้ำให้ยก และนับจำนวนเพื่อทำให้เด็กรู้สึกว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้....เว้นแต่จำนวนที่ยกมือเยอะแล้วก็ไม่จำเป็นต้องนับ..)  เครื่องดนตรีหนึ่งที่ครูชอบและอยากจะเล่นเป็นคือ "แคน" เพราะเสียงแคนทำให้ครูคิดถึงบ้าน คิดถึงสมัยตอนเป็นเด็กๆ เท่าพวกเรา ที่ตอนนั้นครูจะวิ่งอยู่ตามท้องไร่ท้องนาด้วยความสนุกสนาน (ขั้นตอนนี้คือการเล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิตจริงของเราตอนเป็นเด็กอายุเท่าๆ กับนักเรียน ในเรื่องที่เกี่ยวกับ "เครื่องดนตรี" เพื่อที่จะเปิดใจเด็ก ....เปิดใจเด็กๆ ด้วยการเปิดใจตนเองให้ฟัง ).... (สังเกตว่านักเรียนส่งใจมาอยู่กับเราแล้ว...ลุย)
สำรวจความรู้เดิม
  • ไหนใครเคยเล่นดนตรียกมือขึ้น เคยเล่นนะครับ ที่เคยจับเคยเล่นจริงๆ... (ต้องมีนักเรียนยกมือแน่ สมมติว่าหนึ่งในผู้ยกมือคือน้องนิว).....  น้องนิวเล่นเครื่องดนตรีอะไรลูก...(เรียกชื่อ เพื่อทำให้นักเรียนรู้สึกว่าตนเองสำคัญ)  เล่นกีตาร์ค่ะ ....  ว้าว !!! (ทำท่าทางทึ่งและสนใจ) ใครสอนลูก เล่นตอนไหนบ้าง....  (หากเขาเล่าเรื่องได้ กระตุ้นให้เล่าเรื่อง ฝึกคิดถ่ายทอด)....
  • เริ่มเขียน Mind Mapping ไว้กลางกระดานเรื่อง "เครื่องดนตรี" แล้วเขียนคำว่า "กีตาร์" ไว้เป็นก้านแขนงแรก และเขียนเชื่อ "น้องนิว" ไว้ใกล้ๆ ด้วย (ขั้นตอนนี้จะทำให้เด็กๆ ที่เหลืออยากมีส่วนร่วมบ้าง อยากมีชื่อตนเองบนกระดานบ้าง) 
  • นอกจากน้องนิวแล้วใครเคยเล่นอะไรบ้างลูก .... เปิดโอกาสให้ได้เล่าเรื่องประสบการณ์บ้างเล็กน้อยสัก 2-3 คน (หรือสำหรับคนที่อยากเล่า) แล้วเขียนเครื่องดนตรีแต่ละชนิดนั้นๆ ลงเป็นก้านแขนงต่อๆ ไปของ Mind Map...  (ที่โรงเรียนนาโพธิ์มีเด็กที่ยกมือว่า เคยเล่นเครื่องดนเตรีประมาณ 5 คน ที่เคยเล่นคือ แคน กลองยาว ขลุ่ย กีตาร์)
  • ต่อไป..สำหรับคนที่ยังไม่ได้ตอบนะลูก.. เครื่องดนตรีอะไรที่เราเคยเห็น เคยได้ยินเสียง ไม่จำเป็นต้องเคยเล่นเคยจับก็ได้... ช่วยกันคิดๆ  คนที่ตอบแล้วช่วยเพื่อนคิดก็ได้ครับ  แล้วยกมือตอบ โดยไม่ให้ซ้ำกันนะครับ ...   (แล้วเราก่อนค่อยเติมลงไปใน Mind Map) 
  • คราวนี้คุณครูจะเปิดเพลงให้ฟัง เพลงหนึ่ง ตอนเราฟังเพลงให้ทุกคนหลับตา ตั้งใจฟังเสียง แล้วบอกครูว่าได้ยินเสียงอะไรบ้าง ตกลงไหมครับ.... (พูดประโยคนี้ซ้ำอีกครั้ง) ตกลงไหมครับน้องตั้ม ... (พยายามเรียกระบุชื่อนักเรียนเป็นคนๆ)
  • เปิดเพลงให้ฟัง (ที่นาโพธิ์ มีคอมพิวเตอร์ที่เล่นเพลงได้ในห้อง วันนั้นเราเปิดเพลงหมอลำของ ศิริพร อำไพพงศ์)
  • ได้ยินเสียงอะไรบ้างลูก..... (แล้วทำเครื่องหมายลงใน Mind Map ที่เราทำไว้.... สังเกตว่าเด็กที่เคยเล่นเครื่องดนตรีชนิดนั้นจะจำเสียงได้ กิจกรรมนี้ทำให้ห้องเรียนสนุกได้มากครับ)
  • ขั้นตอนนี้ อาจให้นักเรียนทดลองทำ Mind Map ของตนเองลงไปในสมุด และให้เด็กๆ วาดรูปเครื่องดนตรีแทนที่การเขียนคำ ... (แต่วันนั้นไม่ได้ทำครับ...)
  • (ที่ผ่านมาเป็นการฝึกคิดวิเคราะห์แบบแยกแยะจากประสบการณ์เดิม)
เติมความรู้ใหม่ 
  • เอาล่ะ คราวนี้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (วันนั้นนักเรียนนั่งเป็นกลุ่ม) ลองเปิดหนังสือ (มีหนังสือเรียนที่คุณครูใช้) แล้วช่วยกันหาเครื่องดนตรีที่ยังไม่มีใน Mind Map  แล้วเขียนเพิ่มเติมลงไปใน Mind Map 
  • นักเรียนครับ....หากคุณครูจะแบ่งเครื่องดนตรีเหล่านี้ออกเป็นกลุ่มๆ คุณครูจะแบ่งแบบใดได้บ้างหนอ....  (ทิ้งเวลานิดหนึ่ง...สังเกตปฏิกิริยา หากเงียบ แสดงว่า คำถามยากเกินไป ให้ยกตัวอย่างทันที) ... ครูว่า..กลุ่มแรกครูจะเลือกเอาที่ "ใช้ตี" แล้วทำให้เกิดเสียง เช่น กลองยาว กลองชุด ...ฯลฯ  .... แบ่งเป็นกลุ่มอะไรได้อีกหนอ..... (ทิ้งเวลาอีก ทิ้งเวลานานกว่าเดิม....)  ...ใช่แล้วครับ ครูเห็นด้วย ควรแบ่งเป็นกลุ่มที่ "มีสาย" เก่งมากลูก เยี่ยมมาก (มีเด็กตอบได้ ให้ "จับ" และ ชมทันที)....... (ขั้นตอนนี้เป็นการฝึกคิดวิเคราะห์ จำแนกและจัดหมวดหมู่) 
  • มอบหมายให้แต่ละกลุ่มช่วยกันทำลงบนกระดาษคลิปชาร์ท... และให้นำเสนอ 
 นำไปใช้ (วันนั้นเวลาจำกัดไปไม่ถึงขั้นนี้)
  •  ควร "ชวนคิด" ถึงประโยชน์ของเครื่องดนตรี อาจทำแบบเดิมคือ "พาคิด" หรือใช้วิธีตั้งคำถามกระตุ้นให้เห็นความสำคัญเช่น  หากในโลกนี้ไม่มีเครื่องดนตรีจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฯลฯ
  • มอบหมายให้เด็กๆ ช่วยกันสำรวจ สืบหาว่า ในหมู่บ้านชุมชนของเรา มีใครเล่นเครื่องดนตรีอะไรเป็นบ้าง
  • เป็นไปได้ อาจเชิญ "ปราชญ์ชาวบ้าน" หรือ "ศิลปินชาวบ้าน" (หมายถึงอยู่ในชุมชน) มาเล่นดนตรีให้เด็กๆ ฟังจริงๆ หรือพาเด็กๆ ไปสัมผัส จับเครื่องเล่นดนตรีจริงๆ 

ตัวอย่างที่ 2  เรื่อง "อาหารหลัก 5 หมู่" สาธิตการสอนที่โรงเรียนชุมชนบ้านโพนงามประสาทศิลป์ สพป.กส. 1

เริ่มที่ดึงสมาธิเด็กๆ....
  • นักเรียนทุกคนหันหน้ามาทางนี้ลูก... โอ้...ขอบคุณมากน้องชื่ออะไรนะลูก หันหน้ามาเร็วมากเลย ตั้งใจดีมากครับ ....  (วันนี้แค่พูดประโยคเดียวเด็กๆ ส่งใจมาหมดเลยครับ ... เด็กที่นี่สมาธิดีครับ)
  • คุณครูชื่อ ครูต๋อย ชอบกิจ "ข้าวจี่" ครับ  (แล้วเขียนเป็น Mind Map ลงบนกระดาน ใช้คำว่า อาหารที่ฉันชอบ) 
 สำรวจความรู้เดิม
  • น้องบีมชอบกินอาหารอะไรมากที่สุดลูก (น้องบีมนั่งอยู่หัวโต๊ะตัวแรกของโต๊ะที่เรียงกันเป็นรูปตัวยู) น้องบีมคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า ชอบกิจไข่ตุ่นค่ะ ... (เขียนชื่อน้องบีม และคำว่า "ไข่ตุ๋น" ลงบน Mind Map)
  • น้องหม่ำชอบกินอะไรลูก... น้องหม่ำชอบกิน "ขนมจีน"... แต่ก่อนที่น้องหม่ำจะบอกเพื่อนว่าเราชอบอะไร ให้บอกก่อนว่า "ครูต๋อยชอบข้าวจี่ น้องบีมชอบไข่ตุ๋น" ตกลงไหมคะ ...(แล้วก็พาพูดเลย ทำเป็นตัวอย่าง พาทำ เพราะเด็กยังเล็กเกินไปจะสื่อสารแล้วให้ทำตามคำบอก)  
  • แล้วคนต่อไปล่ะลูก อ้าวเริ่มเลย..ง "ครูต่อยชอบข้าวจี่ น้องบีมชอบไข่ตุ๋น น้องหม่ำชอบกินขนมจีน และ....น้องพิมพ์ชอบกิน...... (วันนี้เด็กเล็กมาก จึงให้ทุกคนช่วยกันพูด... เด็กๆชอบครับ สนุก...แต่อย่าลืมสังเกต ถ้าเด็กเริ่มเบื่อต้องหยุดและเปลี่ยนกิจกรรม) 
เติมความรู้ใหม่ 
  • อาหารที่เรากินนักวิทยาศาสตร์พบว่าสามารถแบ่งได้เป็น 5 หมู่ ได้แก่ หมู่ที่ 1 โปรตีน ........ (ทำเป็น Mind Map โดยใช้คำว่า อาหารหลัก 5 หมู่)
  • เติมความรู้แต่ละหมู่ของอาหารว่า ได้จากอะไรบ้าง เช่น หมู่ที่ 1 โปรตีน ได้จาก เนื้อ หมู ไก่ ปลา นม ไข่ ถั่วเหลือง.... (โดยใช้สื่อ วันนี้ครูไพจิตร เตรียมรูปภาพอาหารมาอย่างดี)
นำไปใช้
  • คราวนี้เรามาดู ครูต๋อย ที่ชอบกินข้าวจี่ ครูต๋อยกินอาหารหมู่ไหนครับ...... เด็กๆ ตอบได้ครับ บอกหมู่ 2 เพราะเป็นข้าว ......  
  • น้องบีมล่ะครับ  น้องบีมชอบกินอะไรนะครับ .... "ไข่ตุ๋น" (เด็กๆ ตอบเสียงดังพร้อมกัน) แล้ว น้องบีมได้กินอาหารในหมู่ไหนครับ.... เด็กๆ  "หมู่ที่ 1" เด็กๆ ตอบได้ชัดมากครับ (ผมมีความสุขมาก) 
  • ......ค่อยๆ ตั้งคำถามนำ....    
วิธีการนี้ผมเรียกว่า การสอนแบบ "พาคิด"  เด็กๆ ได้ฝึกคิด ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ต่อไป

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หลักสูตรพัฒนาผู้อำนวยการโรงเรียนและครู: หลักสูตร KMยกกำลังสอง



กระบวนทัศน์ของการพัฒนาครูตาม “หลักสูตร KM2 แสดงดังรูปจำลองธรรมจักรด้านล่าง

KM2=Knowledge Management * Kanlayana Mitree = การจัดการความรู้ * กัลยาณมิตร  หมายถึงการพัฒนาครูอย่างเป็นกัลยาณมิตรโดยใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร คือ เปลี่ยนกระบวนทัศน์และปรับกระบวนการให้ผู้อำนวยการบริหารด้วยกระบวนการเชิงราบ ปฏิบัติอย่างเป็นกัลยาณมิตร ครูหันมาใช้จิตวิทยาเชิงบวกอย่างจริงจัง เน้นการเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้  โดยเฉพาะการเรียนการสอนแบบ (PBL)  และที่สำคัญคือต้องทำงานเป็นทีม สำหรับครูคือ ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ หรือ PLC

กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ เป็นสิ่งจำเป็นในการหมุนกงล้อธรรมจักรให้หมุนไปจากภายในของคน โยนิโสมนสิการหรือการคิดโดยแยบคายนั้น เป็นทักษะที่แต่ละคนต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเอง ส่วนการชี้แนะกระตุ้นจากกัลยาณมิตรนั้นเป็นปัจจัยสำคัญให้สามารถหมุนธรรมจักรได้ หากเปรียบการหมุนธรรมจักรเหมือนการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียน ครู ก็เปรียบเหมือนกัลยาณมิตร  4 ประเภท ที่บทบาทหน้าที่ให้นักเรียนหมุนกงล้อธรรมจักรไปได้ ดังนี้

  • เป็นมิตรอุปการะ หรือเปรียบเหมือน เป็นครูฝึก (Coach)  ทำให้นักเรียนได้ “ฝึกคิด” “ฝึกทำ” “ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง”
  • เป็นมิตรน้ำใจดี หรือเปรียบเหมือนเป็น “คุณอำนวย” ให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และส่งเสริมให้ประสบผลสำเร็จ ยิ่งขึ้นไป
  • เป็นมิตรแนะประโยชน์ หรือเปรียบเหมือนเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) คอยชี้แนะทิศทางที่ถูกต้อง  ชี้ให้เห็นประโยชน์  บอกเหตุผลที่เหมาะสมถูกต้องในการตัดสินใจคิดหรือทำ
  • o  เป็นมิตรร่วมสุขร่วมทุกข์  หรือเปรียบเหมือนเพื่อนผู้ให้คำปรึกษาปัญหาในใจ (Counseling) ร่วมทุกข์ช่วยให้พ้นจากทุกข์ ร่วมสุขและช่วยให้ไม่ติดกับความสุข ทำให้นักเรียนมีภูมิคุ้มกันภายในที่ดี พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
เครื่องมือต่างๆ จากกระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) ได้แก่
  • Before Action Review หรือ BAR ใช้ในการทบทวนความคาดหวัง ภาพแห่งความสำเร็จ และบทบาทสำคัญของตนเอง ตลอดจนบริหารความเสี่ยงที่อาจทำให้ไม่บรรลุเป้าหมายนั้น พร้อมทั้งเตรียมการไว้ล่วงหน้า
  • After Action Review หรือ  AAR  ใช้ในการตรวจสอบ ผลการเรียนรู้ หรือผลการดำเนินงานต่างๆ ว่าได้บรรลุตามที่ได้ BAR ไว้หรือไม่ ไม่บรรลุเพราะเหตุใด หากจะต้องทำอีก หากจะทำให้ดีขึ้นจะต้องทำอย่างไร  ฯลฯ
  • การถอดประสบการณ์ หรือ การถอดบทเรียน เป็นกระบวนการสะท้อนบทเรียนที่ได้เรียนรู้  สิ่งที่ได้เห็น ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตามมา และแนวทางในการนำไปปรับประยุกต์ใช้ต่อไป
  • การบวนการเรียนรู้จากภายใน หรือจิตตปัญญาศึกษา เช่น การฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening)  สุนทรียสนทนา (Dialouge)  ฯลฯ
  • การแลกเปลี่ยนเรียนรู้  (Share) เช่น แลกเปลี่ยนแบ่งปัน (Show and Share) กิจกรรมเวิร์ลคาเฟ่ (World Café’)  เรื่องเล่าเร้าพลัง (Success Story Telling)  ฯลฯ




ขั้นตอนในการพัฒนาครูตามหลักสูตร KM2 อาจแบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
1.      ขั้นพัฒนาครู  
  • เริ่มตั้งแต่ ทำ BAR  เพื่อศึกษาจุดมุ่งหมาย บริบทของครู โรงเรียน และชุมชน
  • จัดเวทีฝึกอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้อำนวยการโรงเรียนและศึกษานิเทศ เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการความรู้ และทักษะการ Coaching, Mentoring , และ Counseling
  • ลงพื้นที่ไปเรียนรู้สภาพจริง บริบทจริงของโรงเรียนและครูเพื่อนำมาออกแบบ กิจกรรมพัฒนาครู
  • จัดเวทีพัฒนาครูโดยใช้กระบวนการ KM  โดยใช้กระบวนการภายในให้ “มองเด็กรายบุคคล” “มองตนเอง” และ “มองหากัลยาณมิตร” เพื่อที่จะทำ PLC พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
  • ลงพื้นที่ติดตาม “นิเทศแบบ KM2” เพื่อ Coaching และ Mentoring เพื่อความต่อเนื่อง
2.      ขั้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และจัดการความรู้
  • จัดให้มีเวทีเพื่อให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อค้นหาประสบการแห่งความสำเร็จที่โดดเด่น หรือแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice, BP)
  • ค้นหาครูเพื่อศิษย์ที่จะสามารถเป็นครูแกนนำขับเคลื่อนขยายผลต่อไป
  • ถอดบทเรียน BP จากครูเพื่อศิษย์แกนนำ เพื่อนำออกเผยแพร่ต่อไป
3.      ขั้นเผยแพร่ BP และความสำเร็จของหลักสูตร
  • จัดเวที  AAR  เพื่อประเมินผล และขยายความสำเร็จด้วยการเล่าเรื่อง (SST)
  • วิเคราะห์ สังเคราะห์ ปัจจัยแห่งความสำเร็จ เพื่อเผยแพร่สู่ PLC ต่อไป
  • นำประสบการณ์ไปปรับปรุงหลักสูตรต่อไป

สำหรับขั้นตอนของกิจกรรมโดยละเอียดตาม “ตามหลักสูตร KM2) สามารถอ่านได้จากหัวข้อ  “บันทึกจากกระบวนกร” ในเอกสารนี้

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แหล่งเรียนรู้ที่ดีสำหรับการขับเคลื่อน ปศพพ.เพื่อการศึกษา

ก่อนจะกล่าวถึงแหล่งเรียนรู้ ผมต้องย้ำหลักสำคัญของ ปศพพ.เพื่อการศึกษาอีกครั้ง ได้แก่ 
  • ปศพพ. คือ "หลักคิด" อย่างมีวิจารณญาณที่มีคุณธรรม 
  • ปศพพ. คือ "หลักปฏิบัติ" อย่างมีหลักวิชาการและมีคุณธรรม
  • ปศพพ. คือ "หลักพิจารณา" อย่างมีสติ สัมปชัญญะบนทางสายกลาง
สรุปให้สั้นเหลือ ประโยคเดียวคือ "การคิด ลงมือทำ และพิจารณา อยู่บนหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข 4 มิติ"  ทั้งสามคำคือ คิด ปฏิบัติ และพิจารณา รวมกันเหลือคำเดียวคือ "เรียนรู้" 
แหล่งเรียนรู้ ปศพพ. จะต้องชัดเจนใน 4 ประเด็นนี้ 
  1. คุณค่าของแหล่งเรียนรู้ นักเรียนจะได้ "ทักษะชีวิตใดบ้าง จะได้ฝึกฝนทักษะการเรียนรู้ใดบ้าง จะได้ทักษะสื่อและเทคโนโลยีใด และจะได้ใช้ความรู้และทักษะตามตัวบ่งชี้ในหลักสูตร" 
  2. กระบวนการเรียนรู้ที่คุ้มค่าเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามข้อ 1. เป็นอย่างไร ขั้นตอนเป็นอย่างไร
  3. จะต้องวัดประเมินผลลัพธ์ที่คาดหวังตามข้อ 1. อย่างไร เกิดขึ้นหรือไม่ เกิดขึ้นอย่างไรในขั้นตอนใดตามข้อ 2.
  4. จะทำให้เกิดความยั่งยืนได้อย่างไร คือ จะพัฒนา เผยแพร่ หรือขยาย ประสบการณ์ตั้งแต่ข้อ 1.-3. อย่างไร 
แหล่งเรียนรู้ที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้ 


  1. เชื่อมโยงสอดคล้องระหว่าง "บริบท 4 มิติ" กับ "คุณค่าของแหล่งเรียนรู้"  เช่น 
    • ด้านสังคม แหล่งเรียนรู้ควรเกี่ยวข้องสอดคล้องกับอาชีพ หรือการทำงานของนักเรียนและผู้ปกครอง หรือตั้งอยู่บนฐานของปัญหาจริงในการดำรงชีวิตของนักเรียน ได้รับความร่วมมือจากชุมชนและสังคม เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติอย่างมี "หลักวิชาการ" 
    • ด้านวัฒนธรรม แหล่งเรียนรู้ควรบูรณาการกับ วิถีชีวิต ประเพณี หรือภูมิปัญหา ของชุมชนและท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและภาคภูมิใจและเห็น "คุณค่า" ของวัฒนธรรม 
    • ด้านเศรษฐกิจ/วัตถุ แหล่งเรียนรู้นั้นสอดคล้องเหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งด้านทุนทรัพย์ ศักยภาพ ของโรงเรียน ของครู และของนักเรียน  สามารถเสริมให้นักเรียนเข้าใจความ "คุ้มค่า" 
    • ด้านสิ่งแวดล้อม แหล่งเรียนรู้ควรคำนึงถึงความ "ยั่งยืน" เช่น ส่งเสริมความตระหนักของการรักษาสิ่งแวดล้อม ระวังผลกระทบต่อธรรมชาติจนขาดความ "สมดุล"
  2. มีกระบวนการเรียนรู้ที่ครบ "วงจร" "เห็นวัฏจักร" "เห็นภาพรวม" ของชีวิตหรือเรื่องนั้นๆ ผู้เรียนเข้าใจที่มาที่ไป เข้าใจเหตุผล ความจำเป็น และเห็นคุณค่าของแหล่งเรียนรู้นั้น เช่น
    • ครบรอบในเนื้อหาตั้งแต่ เกิดจนเกิดอีก เช่น แหล่งเรียนรู้เรื่องข้าว ยางพารา อ้อย ข้าวโพด หรือมันสัมปะหลัง นักเรียนควรได้เรียนรู้ตั้งอต คัดเมล็ดพันธ์หรือเพราะกล้า ดูแล เก็บเกี่ยว เก็บคัดเมล็ดพันธุ์ นำไปใช้ประโยชน์ เป็นต้น 
    • เห็นมิติของ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือ เข้าใจประวัติศาสตร์ เห็นโอกาส และฉลาดที่จะภูมิคุ้มกันเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ 
    • เห็นประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ต่อชุมชน ต่อสังคม  ตั้งแต่พอได้ มั่นคง แบ่งปัน ขยาย จนถึงขั้นมีความสุขที่ได้ทำ 
    • ฯลฯ
  3. เป็นแหล่งเรียนรู้ "ชีวิต" ไม่ใช่ "แหล่งเรียนรู้วิชา" นั่นคือ เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถเชื่อมโยงห้องเรียน กิจกรรมในโรงเรียน และการดำเนินชีวิตนอกโรงเรียนได้ (อ่าน 3 เชื่อมที่นี่)   ไม่จำเป็นว่าแหล่งเรียนรู้ต้องอยู่ในโรงเรียน แหล่งเรียนรู้ในชุมชนหรือสังคม ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนได้ เมื่อชัดเจนใน 4 ประเด็นข้างต้น
  4. เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เอื้ออำนวยให้ นักเรียนฝึกฝนการเรียนรู้ด้วยตนเอง 
  5. เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มี "พลวัตร" หรืออาจเรียกว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ "มีชีวิต" คือ มีการเปลี่ยนแปลง มีกิจกรรม หรือมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยไป
จะยกตัวอย่างให้เห็นเมื่อลงพื้นที่ตามโรงเรียนนะครับ 

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หลัก 7 ประการ สำหรับการ "นิเทศแบบกัลยาณมิตร"

ผมเองได้ "รับรู้" คำว่า "นิเทศแบบกัลยาณมิตร" ครั้งแรกจากหนังสือชื่อนี้ ของศาสตราจารย์กิตติคุณสุมน อมรวิวัฒน์ ปราชญ์แห่งแผ่นดินสยามท่านหนึ่ง อ่านแนวคิดของท่านได้ที่นี่ครับ 
หลังจากได้มาเรียนรู้แนวทางการ "นิเทศ" เมื่อครั้งที่เราเดินทางไปที่สำนักงานเขตฯ ลงพื้นที่จริงๆ (อ่านได้ที่นี่)  และได้เรียนรู้และเสนอ "หลักการเป็น ครูฝึก เป็นพี่เลี้ยง และเป็นที่ปรึกษา สำหรับครู"  ไว้   เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการปรับใช้ ผมจึงอยากเสนอแนวคิด ใน "กัลยาณมิตรนิเทศ" ดังนี้ครับ 

กระบวนทัศน์ หรือ หลักคิด  7 ประการ
  1. นิเทศเพื่อให้ผู้รับการนิเทศได้ "นิเทศตนเอง" คือการไปทำให้ "ครูเห็นตนเอง" สะท้อน (Relection) และ feedback (สะท้อนผล) กลับ ให้ครูได้ เห็น กระบวนทัศน์ กระบวนการ และผลลัพธ์ของตนเอง เป้าหมายสำคัญคือ ครูสามารถนิเทศตนเองได้
  2. ใช้กระบวนการเชิงราบหรือกระบวณการกลุ่ม คือ เน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เช่น ฝ่ายบริหารนโยบาย ผู้นิเทศ ผู้รับการนิเทศ ผู้ที่ต้องการรู้หรือเรียนรู้การนิเทศอื่น ฯลฯ เป้าหมายของหลักข้อนี้คือ ครูรู้เข้าใจกระบวนการนิเทศและให้ความสำคัญกับการนิเทศ
  3. ใช้จิตวิทยาเชิงบวก เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เน้นการเล่าเรื่องความสำเร็จ (Success Story Telling) หรือ SST คือ ให้ครูเล่าเรื่อง เล่าประสบการณ์ให้ฟัง ไม่บอกสั่งนั่งไล่ถาม แต่เน้นกระตุ้นตามให้เล่าเรื่อง เป้าหมายของข้อนี้คือ "แรงบันดาลใจ" ในการทำงานของครูเพิ่มขึ้นหลังการนิเทศ ครูจะอยากให้มีการนิเทศการสอนนั่นเอง
  4. ประเมินแบบไม่ตัดสิน ไม่ประเมินแบบ "ได้-ตก" หรือเพื่อนำมาเปรียบเทียบแข่งขัน แต่เป็นการเน้น "ประเมินเพื่อพัฒนา" เป้าหมายข้อนี้คือ ครูจะเปิดใจและแสดงข้อมูลจริง
  5. บทบาทเหมาะกับบริบท ทำบทบาทที่เหมาะสม  เช่น ถ้าผู้นิเทศเป็น ศน. ควรเน้นเป็น "พี่เลี้ยง" ถ้าผู้นิเทศเป็นผู้อำนวยการหรือครูแกนนำ ควรทำหน้าที่เป็น Coach หรือ ครูฝึก แต่ถ้าผู้เทศเป็นไม่มั่นใจในความรู้ประสบการณ์ของตน ให้หันมาทำตนให้คำปรึกษา (Counseling) อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาบริบทของครู (ผู้ที่เราไปนิเทศ) เป็นรายบุคคลเพื่อความเหมาะสมด้วย (อ่านข้อเสนอเกี่ยวกับการนิเทศได้ที่นี่ครับ)  แล้วใช้บทบาทต่างๆ ในการนิเทศให้เหมาะสม เช่น
    • เรื่องประสิทธิภาพ "หน้างาน" ให้ติดตาม ใกล้ชิด ต่อเนื่อง  คือทำหน้าที่เป็น Coach 
    • เรื่องเกี่ยวกับศัยภาพคน ให้ทำตนเป็น "พี่เลี้ยง" คอยกำกับทิศ ชี้ทางสว่าง ให้โอกาสได้ถาม
    • เรื่องเกี่ยวกับความสุข ความทุก ความรู้สึก จิตใจ ต้องทำตัวให้เป็น "ที่ปรึกษาปัญหาภายใน" คือ Counseling
    • ฯลฯ  เป้าหมายสำคัญของหลักคิดข้อนี้คือ "เหมาะสม พอดี พอประมาณ"
    6. จัดกระบวนการนิเทศให้ "คุ้มค่า" และมี "คุณค่า" โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้
    7. ผู้นิเทศต้อง "จริงใจ" มีอุดมการณ์ในการทำการนิเทศ เห็นคุณค่าในการไปนิเทศ ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นิเทศ เมื่อทำอะไรจริงใจแล้วจะทำให้เกิดความ "ยั่งยืน" ตามมา


 กระบวนการนิเทศ  4 ขั้นตอน

กระบวนการนิเทศที่ใช้กันทั่วไป ตามที่ได้ฟังจาก ผอ.กลุ่มนิเทศฯ ตามบันทึกนี้  คือ ศึกษา วางแผน สร้างเครื่องมือ ลงนิเทศ และสรุปผล ก่อนจะนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไปนั้น จากการสืบค้นและศึกษาทางอินเตอร์เน็ต พบว่ากระบวนการนิเทศการสอน (ที่นี่ ที่นี่ เป็นต้น) ที่ทำกันตามทฤษฎีชาวตะวันตกนั้น เน้นการไป "จัดการ" หรือ "กระทำ" โดยผู้นิเทศกับผู้ถูกนิเทศ เช่น ใช้กระบวนการนำ (Leading Process) กระบวนการควบคุม (Controlling Process) และกระบวนการประเมินสภาพ (Assesment Process) ฯลฯ  ซึ่งค่อนข้าง "สวนทาง" กับวิธีการ "กัลยาณมิตรนิเทศ" ดังจะเสนอต่อไปนี้

  1. ศึกษา 
  2. วางแผน
  3. นิเทศ
  4. สะท้อนผล สรุปผล
ขั้นศึกษา
คำถามสำหรับขั้นการศึกษาก่อนนิเทศคือ
  • ทำไมต้องมีการนิเทศการสอน  จำเป็นต้องมีการนิเทศหรือไม่ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการนิเทศคืออะไร (BAR) วิธีการกำหนด "เป้าหมาย" ควรคำนึงถึงอย่างน้อย 3 มิติ คือ นโยบาย (จุดเน้น) ปัญหาปัจจุบัน และสถานการณ์ที่เปลี่ยแปลง
  • บริบทของ "เรา" เป็นอย่างไร ("เรา" หมายถึงทั้งผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ) คุณลักษณะและความเชี่ยวชาญของผู้นิเทศแต่ท่านเป็นอย่างไร ภูมิสังคมของโรงเรียน ภูมิปัจเจกของครูแต่ละคน และศึกษาบริบทของชุมชน สังคม 4 มิติ คือ วัตถุ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ในการเชื่อมโยง "ชีวิต" ต่อไป
  • ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ควรต้องมีความรู้ในการนิเทศนั้นๆ อะไรบ้าง ต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้างในการนิเทศ จะสามารถหาความรู้ได้จากแหล่งใด อย่างไรได้บ้าง 
  • มีตัวอย่างที่ดี (Best Practice) หรือประสบการณ์ที่ประสบผลสำเร็จอะไรบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับ "เป้าหมาย" ที่ตั้ง
  • มีหลักการหรือทฤษฎีอะไรที่เกี่ยวข้องกับ "เป้าหมาย" และน่าจะเป็นประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
  • เครื่องมือใดที่ต้องใช้ในการนิเทศ หรือควรพัฒนาเครื่องอย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่า "เป้าหมาย" บรรลุ
  • ฯลฯ  (ควรมีการจัดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดมสมองเกี่ยวกับการ "นิเทศ" Coaching, Mentoring, Counseling, KM, KM)
 ขั้นวางแผน
  • ควรทำอย่างมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย อาจเป็นประชุมสัมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือระดมสมอง เพื่อกำหนดแนวทาง และรูปแบบการนิเทศ โดยนำข้อมูลที่ได้จาก "ขั้นการศึกษา" มาวิพากษ์
  • กำหนดวัตถุประสงค์ และผลที่คาดว่าจะได้รับร่วมกัน 
  • กำหนดปฏิทินการนิเทศร่วมกัน 
  • ใช้ PLC ออนไลน์ ในการติดต่อสื่อสาร อย่างต่อเนื่อง 
ขั้นนิเทศ
  • การสนทนาควรเริ่มแบบ เล่าเรื่อง เรื่องเล่าแห่งความสำเร็จ (SST) เรื่องเล่าแห่งความประทับใจ เช่น การเรียนการสอนที่ครูภูมิใจ เป็นต้น  แล้วค่อยใช้การ ตั้งคำถามเชิงบวก เพื่อค้นหา How to ปัจจัยของความสำเร็จ  ก่อนจะให้พาไปดูผลงาน อาจเป็นการสอนจริง
  • "เน้นให้เหมือนปกติ" บรรยากาศเหมือนวันปกติที่ไม่มีการนิเทศ ครูมีการเรียนการสอนปกติ ใช้ความเป็นกันเอง  เข้าร่วมสังเกตการสอนเมื่อครูสมัครใจเท่านั้น 
  • ผู้นิเทศต้องอย่างน้อย "ฟัง 4 มิติ" ได้แก่ สังเกตกระบวนทัศน์ สังเกตกระบวนการ สังเกตตาม "เป้าหมาย" หรือผลลัพธ์ และ สังเกตบรรยากาศ-ความรู้สึก
  • ฯลฯ
 ขั้นการสะท้อนผลกลับ และสะท้อนข้อคิดเห็น
  • การวิพากษ์หรือให้ข้อคิดเห็น ต้องบอกเหตุการณ์หรือสิ่งที่เป็นเหตุให้มีข้อคิดเห็นนั้น และสาเหตุที่ต้องให้ข้อคิดเห็นนั้น และแนวทางในการแก้ไขหรือข้อเสนอแนะ  (ข้อคอมเมนต์ต้องชัดเจน) ต้องเปิดโอกาสให้ซักถาม และถามย้ำถึงความเข้าใจ หรือความเห็นต่อข้อคิดเห็นนั้นๆ
  • ถ้าเป็นไปได้ควร "ทำให้ดู" ในกรณีที่ผู้นิเทศเชี่ยวชาญ หรือนำตัวอย่างที่ดี BP มาให้ดู 
  • ต้องจบด้วย "บวก" เสมอ คือ ต้องจบด้วยคำชมเสมอ และจะต้องชื่นชมอย่างจริงใจ ชื่นชมในเรื่องที่ควรชื่นชมเท่านั้น 
  • จบด้วยความชัดเจนเสมอว่า "ต่อไปจะทำอะไร อย่างไร เมื่อไหร่" 

 (ขอเสนอไว้เท่านี้ครับ) ปราชญ์ผู้รู้ ผู้ปฏิบัติ โปรดวิพากษ์ แก้ไข เพิ่มเติมครับ.... เชิญ

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการวิเคราะห์ปัญหา

จากการสังเกตในระหว่างทำกิจกรรมระดมสมอง มองปัญหา ของ ผอ.หรือครู หรือใครๆ ในพื้นที่  ผมพบว่าหลายครั้งที่วงสนทนา จะดำเนินไป "ติด" และ "ตัน" ไปกันต่อไม่ได้ เพราะมักจะไปเจอแต่ปัญหาประเภทแก้ไม่ได้ ที่ค่อนข้างไกลตัวผู้เสนอ ที่ทุกคนมัก "เผลอ" เพ่งโทษคนอื่น โทษระบบ โทษหน่วยงาน โทษการหมักหมมมานานจนแก้ไม่ได้  โดยลืมไปว่า "ควรมองตนเอง"
เทคนิคที่ใช้ได้อย่างหนึ่งในการ "ระดมปัญหา" เพื่อวิเคราะห์ปัญหา คือ การแบ่งปัญหาออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
  • ปัญหาที่เราแก้ไม่ได้แน่  เรียกปัญหาชนิดนี้ใหม่ว่า "ข้อจำกัด" (เราในที่นี้หมายถึง ผู้มองปัญหา หรือกลุ่มผู้มองปัญหา)
  • ปัญหา ที่เราน่าจะแก้ได้  เรียกว่า "ปัญหา"   ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาจาก "หน้างาน" เป็นปัญหาในหน้าที่และบทบาทของผู้มองปัญหา เป็นปัญหาใกล้ตัว
  • ปัญหา ที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต จะเกิดขึ้นระหว่างการ "ทำงาน" หรือ เกิดขึ้นระหว่างการแก้ปัญหา  เรียกปัญหาแบบนี้ว่า "อุปสรรค" ซึ่งสิ่งนี้ ถ้าหากพิจารณาให้ดี อาจมี "กัลยาณมิตร" ช่วนพิชิตได้
หลักสำคัญในการ "ระดมปัญหา" คือ
  • ให้คิดเดี่ยวเป็นรายบุคคลก่อนเสมอ
  • ให้ "ลิสท์" หรือระดมปัญหามาก่อน นำปัญหามารวมกันก่อน แล้วค่อยทำการวิเคราะห์ปัญหาทีหลัง 
  • ก่อนจะจัดหมวดหมู่ปัญหา ให้ช่วยกันพิจารณาเกณฑ์การจัดหมวดหมู่ก่อน จะทำให้ใช้เวลาสั้นลง
  • ในการพิจารณาปัญหา ให้วิเคราะห์ความสำคัญของแต่ละปัญหา โดยคำนึงถึง 3 มิติ คือ
    • ความยากของปัญหา ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น 
    • ความรุนแรงหรือผลกระทบของปัญหา เช่น จำนวนนักเรียนที่มีปัญหานั้นๆ ฯลฯ และ
    • ความร้ายแรงหรือความเสียหายที่เกิดจากปัญหานั้น  เช่น หากไม่แก้ปัญหานั้นโดยด่วน จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ฯลฯ
  • ในการพิจารณาปัญหา อาจใช้เทคนิคการคิดต่างๆ เช่น การคิดแบบหมวด 6 ใบ การคิดแบบโยนิโสฯ เป็นต้น
นำไปทดลองดูครับ ผมทำแล้วได้ผลดี

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิธีตั้งคำถามให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด"

ก่อนเขียนตัวอย่างคำถามต่างๆ ที่เพื่อนครูอาจนำไปใช้ให้เด็กได้ "ฝึกคิด" ผมต้องสรุปทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญ ที่ทุกท่านจำเป็นต้องฟังไว้ 2 ทฤษฎี ได้แก่ การคิดจากทฤษฎีลำดับขั้นการเรียนรู้ของบลูม (Bloom's Taxonomy) การคิดแบบโยนิโสมนสิการในพุทธธรรม ดังนี้ครับ
  • บลูมบอกว่า เรามีลำดับขั้นการคิดจาก วิเคราะห์ สังเคราะห์ประเมินค่า ก่อนจะคิดสร้างสรรค์ 
  • หลักโยนิโสฯ บอกว่า เราคิดได้หลากหลายถึง 10 วิธี ได้แก่
    • คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย อาจเป็นแบบ ปัจจัยสัมพันธ์ หรือแบบสอบสวน (ตั้งคำถาม)
    • คิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ หรือกระจายเนื้อหา
    • คิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา
    • คิดแบบรู้อริยสัจสี่ (วิธีนี้ก็คือการคิดแบบตั้งปัญหา คือ การคิดแบบกระบวนการวิทยาศาสตร์)
    • คิดแบบอรรถสัมพันธ์ คือ คิดตามหลักการและความมุ่งหมาย
    • คิดแบบคุณและโทษ
    • คิดแบบคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม
    • คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม
    • คิดแบบเป็นปัจจุบัน
    • คิดแบบวิภัชวาทวิธี คือการคิดด้วยวิธีทั้งหมด 9 วิธีรวมกัน เรียกได้ว่าเป็นวิธีคิดแบบพุทธวิธี
พิจารณา 2 ทฤษฎีข้างต้น เราสามารถสรุปขั้นตอนการคิด (เพื่อนำไปเป็นหลักในหลักสูตร 3PBL) ได้ดังนี้
  1. คิดวิเคราะห์
    • คิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ กระจายเนื้อหา สิ่งนั้นหรือเปรื่องนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
    • คิด แบบสืบสาวเหตุปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยสัมพันธ์ แต่ละองค์ประกอบนั้นๆ มีหน้าที่ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร โดยอาจใช้วิธีการตั้งคำถาม เพื่อหาคำตอบ
  2. คิดสังเคราะห์
    • คิดแบบเท่าทันธรรมดา  คือ การคิดวิเคราะห์พิจารณาหา "หลักการ" หรือ "กฎธรรมชาติ" เป็นต้น
    • คิดแบบอรรถสัมพันธ์
    • คิดแบบอริยสัจสี่
  3. คิดประเมินค่า
    • คิดแบบคุณและโทษ
    • คิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม
  4. คิดสร้างสรรค์
    • คิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม หรือคิดเชิงบวก
    • คิดแบบเป็นปัจจุบัน
    • คิดเชิงอนาคต 
เมื่อพิจารณาร่วมกับ ความจริง 7 ประการของการเรียนรู้ ที่ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช บันทึกไว้ที่นี่  เราน่าจะได้เครื่องมือที่เรียกว่า คำถามพัฒนาการเรียนรู้ 7 ประการ เพื่อพัฒนาฐานใจให้ "คิดเป็น"ดังนี้ครับ
  1. ถามเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนตรวจสอบความรู้เดิมของตนเอง
    • เคย....... หรือไม่  เช่น เคยเห็นหรือไม่ เคยได้ยินหรือไม่ เคยทำ เคยสัมผัส เคยชิม หรือไม่ .เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับ...............หรืไม่  (แล้วให้เล่าเรื่อง)
    • อะไรที่เรารู้แล้วบ้าง
    • ประทับใจอะไรเกี่ยวกับ...........บ้าง (เล่าเรื่องประทับใจ)
    • ฯลฯ
  2. ถามเพื่อพาฝึกคิดวิเคราะห์
    • ประกอบด้วยอะไรบ้าง ใครบ้าง
    • แต่ละอย่าง แต่ละองค์ประกอบมีไว้ทำไม แต่ละคนมีหน้าที่บทบาทอย่างไร 
    • หากขาด..........ไป จะเป็นอย่างไร
    • ทำไม เพื่ออะไร ทำไมต้องมี 
    • ฯลฯ
  3. ถามเพื่อพาฝึกสังเคราะห์ความรู้เดิม 
    • จัดเป็นกลุ่มได้ไหม จัดหมวดหมู่ได้อย่างไร
    • มีหลักการในการจัดหมวดหมู่อย่างไร หรืออะไรคือหลักสำคัญ
    • อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล 
    • ฯลฯ
  4. ถามเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจให้อยากเรียนรู้ อยากรู้ หรืออยากทดลอง หรืออยากค้นหาคำตอบ 
    • ทำแล้วจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
    • ไม่ทำแล้วจะมีโทษอย่างไร
    • จะรู้ได้อย่างไรว่าใช่หรือไม่ใช่
    • ภาพของความสำเร็จจะเป็นอย่างไรถ้าทำได้
    • ฯลฯ
  5. ถามเพื่อให้ได้สะท้อนการเรียนรู้ของตนเอง  ประเมินค่า ประเมินผลด้วยตนเอง
    • ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
    • รู้สึกอย่างไร
    • คิดอย่างไร
    • จะทำอะไรต่อไปไหม อย่างไร
    • อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จ
    • ฯลฯ
  6. ถามเพื่อให้ได้ประเมินค่าด้วยตนเอง
    • ถูกหรือผิด
    • ดีหรือไม่ดี
    • ควรหรือไม่ควร
    • ฯลฯ
  7. ถามเพื่อกระตุ้นให้สร้างสรรค์ เผยแพร่ ขยายความรู้เดิม
    • อะไรที่ดีสุดตอนนี้ มีอะไรดี
    • อะไรคือปัจจัยของความ
    • จะทำอย่างไรให้ดีขึ้นอีก
    • หากเป็นเขา เราจะคิดอย่างไร
    • ทำอย่างไรจะไม่ซ้ำแบบเดิม
    • ทำอย่างไรจะดีกว่าเดิม
    • ทำอย่างไรจะคุ้มค่ากว่าเดิม
    • ทำอย่างไรจะง่ายกว่าเดิม
    • ฯลฯ
ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ เพราะเน้นจากฐานใจ+ฐานคิด เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ผ่านฐานกายมากนัก




วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ฟัง 4 แบบ

หลายครั้งที่ผมมีโอกาสได้พูดเรื่อง "การฟัง" บันทึกนี้จะทำให้ "การฟัง" ที่น่าจะทำให้การพูดเรื่องนี้บ่อยๆ ลดน้อยลงได้...... อย่างน้อยก็พูดสั้นลง เปลี่ยนเป็น "ชี้บ่ง" มาอ่านที่นี่แทน

การทำงานด้วย "KM" และ ทำงานอย่างเป็น "KM" มาตลอด 2 ปีกว่า คำสำคัญ 2 คำ ที่ต้องฝึกทำบ่อยที่สุดคือ "ฟัง" กับ "ถาม" ตามทุกบทบาทที่นี่ครับ

ผม ได้เรียนรู้ "การฟัง 4 แบบ" จากครู "ศรชัย ฉัตรวิริชัย" ครานั้น ท่านและ อ.ประสาท ประเทศรัตน์ มาพาทีม "จิตตปัญญาศึกษามหาสารคาม" เรียนรู้ ดูใจ ดูกาย ด้วย "รีเซ็ต" คำง่ายๆ แต่ทำยาก  หลังจากนั้นผมเองนำมาเผยแพร่หลายครั้งต่อหลายครั้ง ได้กล่าวถึงท่านบ้าง ไม่กล่าวถึงบ้าง ก็ขอกราบอภัยไว้ ณ โอกาส นี้ด้วยครับ

ท่านบอกว่า เราอาจจำแนกวิธีการหรือลักษณะการฟังของคนออกได้เป็น 4 แบบ ดังรูป

 

หาก เราเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง "เรื่อง" (แกนตั้ง บนเส้นกลางคือ "รู้เรื่อง" ด้านล่างคือ "จมเข้ามาในเรื่องราว" และพื้นที่สีขาวด้านบนคือ "นอกเรื่อง) และ "เวลา" ตั้งแต่เริ่มฟังตรงฝั่งซ้ายที่แกนตัดกัน เราแบ่งการฟังเป็น 4 แบบ ได้แก่
  • แบบที่ 1 ฟังแบบ "ฟังแต่ไม่ได้ยิน" หรืออาจบอกว่า "ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง"  เรียกแบบหลังนี้จะถูกต้องมากกว่า เพราะความจริงเราใช้ "ใจ" ฟัง เมื่อไหร่ที่ใจไม่ได้ "ตั้ง" เราเรียกว่า ไม่ได้ "ตั้งใจ"ฟัง เราก็จะไม่รู้เรื่อง แม้ว่าเครื่องมือที่เรียกว่า "หู" จะทำหน้าที่ "ได้ยิน"เสียงตามปกติ .... ท่านผู้อ่านลองสังเกตว่าเราไม่ได้ "รู้" ว่าเป็นเสียงอะไรทุกอย่างที่ผ่านหู คนที่ฟังแบบแรกนี้จึง "ไม่รู้เรื่อง"
  • แบบ ที่ 2 ฟังแบบ "ฟังแล้วคิดดักหน้า" หรืออาจเรียกได้ว่า ฟังแล้ว "ลอย" ลอยละล่องไปกับการคิด วิถีคิดเดิม ความรู้เก่า ความยึดติดเก่าๆ จะเข้ามาทำหน้าที่ แล้ว "ตัดสิน" ทันทีว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ "ตามที่ตัวเองคิด"  จากความจริงเรื่อง "จิต" ที่ทำหน้าที่จำ คิด รู้ รับ หรือจับทีละอย่าง จิตเกิดทีละขณะ เกิดทีละดวง ขณะคิดก็ไม่ได้ "รับ" (ในที่นี้คือไม่ได้ฟัง) ขณะ "จับ" ก็ไม่ได้ "รู้" วินาทีที่เผลอไปคิดทำให้จิตไม่ได้ฟัง 
  •  แบบที่ 3 ฟังแบบ "จม" ฟังแล้วจมเข้าไปในเรื่องราว สังเกตตอนเราดูละครน้ำเน่าซึ้งๆ ใจจะถูก "ดึง" เข้าไปมีส่วนร่วม ร้องไห้น้ำตาซึม หรืออยากตบอยากตีไปด้วย ไม่เชื่อลองจินตนาการตอนที่ดูละครเรื่อง "แรงเงา" ซิครับ...ฮา
  • แบบ ที่ 4 ฟังแบบนี้คือแบบที่เราต้องฝึกเอง โดยธรรมชาติเราจะ "ฟัง" แล้ว "คิด" และเมื่อเทียบเคียงกับ "จำ" สัญญาเดิม ก็จะทำให้เรา "รู้เรื่อง" นั่นคือ เราจะฟังและคิดสลับกัน ปัญหาคือจะทำอย่างไรไม่ให้ "ลอย" ออกไป หรือไม่ "จม" เข้าไปในเรื่อง คำตอบคือ เราต้อง "ฟังแบบรู้สึกตัว" ที่ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า "รู้ตัวทั่วพร้อม" นั่นเองครับ 
ในชีวิตประจำวันของท่านผู้อ่าน ฟังแบบที่ 4 สักกี่เปอร์เซ็นต์ ครับ
ผมเองเรียกการฟังแบบที่ 4 นี้ว่า "ฟังแบบลึกซึ้ง"

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หลักการ Coaching, Mentoring, และ Counseling

หลังจากอ่าน cc mail ของ "ผู้ใหญ่" ที่ให้โอกาสผมท่านหนึ่ง ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะ "ถอดบทเรียน" เชิงสังเคราะห์ จากประสบการณ์ทำงานภาคสนามในเขตพื้นที่ ทั้งบทบาทประสานเครือข่าย LLEN บทบาทการขับเคลื่อน PLC  และบทบาทนักวิชาการ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ผมสืบค้นด้วย google เกี่ยวกับ การฝึก(Coaching) การเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) และ การให้คำปรึกษา (Counseling) พบข้อมูลมากล้นเว็บไซต์ แต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มีฐานบนงานบริษัทเศรษฐกิจ ที่เน้นคิดและทำเพื่อแข่งขันสู่ความสำเร็จและชนะ (Win) คำที่อยู่ในระดับเดียวกันที่น่าสนใจอีกคำคือ Teamwork

สำหรับครู Teamwork คือ ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (PLC) ที่ครูแต่ละคนเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน  ผมมองว่า ในการทำงานกับครู การ Coaching, Mentoring, และ Counseling ไม่ควรแยกส่วนออกจากกันว่า ครูควรเป็นโค๊ช ผอ.เป็นพี่เลี้ยง นักวิชาการเป็นที่ปรึกษา แต่ทุกคน ทั้งครู ผอ. นักวิชาการ ควรเป็น กันลยาณมิตร(KanlayanaMittree) ต่อกัน และเลือกทำบทบาท Coaching, Mentoring, และ Counseling ตามแต่ศักยภาพ ประสบการณ์ของตนเอง ตามแต่โอกาส กาละและเทสะ ตามแต่ความเหมาะสม โดยมีหลักเน้นดังภาพ



เพื่อนนักปฏิบัติผู้อ่าน โปรดลองพิจารณาผ่านโสตเปรียบสี ว่าแต่ลบทบาทมีความแตกต่าง สอดคล้องอย่างไร ตามแต่ใจท่านเถิด...

แล้วท่านคิดอย่างไร......

เรียนรู้จาก อ.ชัยวัฒน์ "คิดแบบอ่างน้ำ"

วันที่ 24 กรกฎาคม 2556 วันสุดท้ายของค่าย "เสริมพลังศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ที่ คำแสดรีสอร์ท กาญจนบุรี

ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ จาก "กูรู" อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ครูผู้กำลัง "สั่งสม" ความดี  ผมตั้งใจว่า จะฝึกฝนตนเองให้มีจิตวิญญาณสูงเช่นท่านให้ได้

สิ่งที่ประทับใจ และนำมาใช้ทันทีที่เวที ผอ.และครูแกนนำในโครงการขับเคลื่อน ปศพพ. อีสานบน คือ การคิดเชิงระบบ (System Thinking)  ขออนุญาตเรียกใหม่ง่ายๆ ว่า "คิดแบบอ่างน้ำ"  ดังรูป



ไม่น่าเชื่อว่า แค่เพียงน้ำไหลเข้าอ่าง จำนำมาสอนระบบการคิด หรือที่เรียกว่า "คิดเชิงระบบ" ได้ดี ดีในที่นี้คือ ทำเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย อธิบายได้สั้นๆ

ท่านเน้นคำ 3 คำ  คือ น้ำไหลเข้า (Flow in) น้ำไหลออก (Flow out) และน้ำในอ่าง (Stock) หลักการคิดมี 3 ขั้นคือ
  1. น้ำในอ่าง หรือ สต็อก ของเรามีอะไรบ้าง ในบริบทวันนั้นคือ การที่เป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ต้องมีอะไรบ้างเช่น มีครูแกนนำ มีนักเรียนแกนนำ มีงบประมาณสนับสนุน มีการบริหารจัดการที่ดี มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ฯลฯ
  2. น้ำที่ไหลออก หรือ อะไรกำลังไหลออกจากอ่างบ้าง เช่น ครูกำลังจะเกษียณกี่คน ผอ.จะย้าย แหล่งเรียนรู้เสื่อมโทรม ฯลฯ 
  3. และ จำจัดการ "น้ำไหลเข้า" อย่างไร ให้มี "น้ำในอ่าง" ตามต้องการ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายปลายทาง เช่น ถ้าครูแกนนำจะเกษียณ ต้องพัฒนาครูรุ่นใหม่ให้เป็นครูแกนนำอย่างไร ต้องจัดการเรียนรู้อย่างไร ให้ยั่งยืน ฯลฯ 
วันที่ 25 กรกฎาคม 2556  หลังจากอธิบาย "การคิดแบบอ่างน้ำ" นี้แล้ว เราให้ ผู้อำนวยการโรงเรียน ได้ทดลองทำกิจกรรม "กระดาษ 3 พับ" เพื่อเขียน Stock, Flow in, Flow out ลงในแต่ละคอลัมน์ ก่อนจะเปิดโอกาสให้นำเสนอ

ผมประทับใจ ผอ.พรเทพ จากโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม ที่วิเคราะห์ปัจจัยเข้าออกนอกในได้ชัด อีกทั้งยังบอกความท้าทายที่จะมุ่งไป 2 ประการ ของโรงเรียน  ผมขอบันทึกไว้ตรงนี้ด้วย เผื่อจะมีโรงเรียนอื่นๆ นำไปพิจารณา  ได้แก่
  1. การทำวิจัยเพื่อให้รู้ว่า การนำหลัก ปศพพ. มาขับเคลื่อนในโรงเรียน มีผลต่อนักเรียน ต่อครู ต่อโรงเรียน อย่างไร
  2. การเชื่อมโยงผลสำเร็จสู่ชุมชนและสังคม 
ขอบคุณท่านแทนเด็กๆ ลูกหลานเรา ไว้ ณทีนี่ อีกทีครับ

อ.ต๋อย